วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

เข้าใจลูกก่อนพัฒนาสมอง

เข้าใจลูกก่อนพัฒนาสมอง

 
                                               
     ในสมัยก่อนเรา รู้จักพัฒนาการของเด็กเป็นเพียงการเติบโตทางร่างกายเท่านั้น และมองว่าพัฒนาการเป็นเพียงการเลี้ยงลูกให้มีรูปร่างใหญ่ขึ้น มีความสามารถเพิ่มขึ้น เช่น จากคลานเป็นลุกนั่งได้ จากลุกนั่งเป็นยันตัวและก้าวเดินได้ ทั้งที่จริงความหมายของพัฒนาการกินความกว้างถึงความสามารถด้านสติปัญญา จิตใจ อารมณ์  สังคม จริยธรรม ความสามารถในการรับรู้ และแสดงออกของเด็กในวัยต่างๆ ด้วย เช่น เด็กวัย 2 ขวบจะสามารถจับดินสอขีดเขียนวงกลมบิดเบี้ยวได้ หากได้เขียนรูปกากบาท ก็จะได้ภาพกากบาทที่หยิกๆ หยักๆ แต่พอ 3 ขวบจะวาดวงกลมได้กลมจนสวยงามทีเดียว และเมื่อ 4 ขวบก็จะสามารถวาดสี่เหลี่ยมได้ และ 5 ขวบจะวาดรูปสามเหลี่ยมตามแบบที่เห็นได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กนั้นได้มีพัฒนาการทางสมองหรือสติปัญญาด้วย มิใช่พัฒนาการทางร่างกายอย่างเดียว


  เด็กมีพรสวรรค์ (Gifted Child)
     เด็กที่มีพรสวรรค์นั้นอาจเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเด็กมีความสามารถรับ รู้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และความสามารถในการรับรู้ของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั้น ทำให้เด็กมีลักษณะพิเศษและมีความเฉลียวฉลาดไปจนถึงผู้ใหญ่ได้ มีเด็กหลายคนที่มีพรสวรรค์เกิดมาอายุ 2 ขวบก็สามารถอ่านหนังสือของเด็กอนุบาลอายุ 5-6 ปีได้แล้ว เมื่อเติบโตประมาณ 5 ขวบ ก็อ่านหนังสือของเด็กระดับประถมและมัธยม จนเป็นที่ยอมรับว่าเด็กคนนี้มีความเฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ เวลานี้เราก็ได้พบว่ามีเด็กไทยคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษอายุ 9 ขวบสามารถเรียนจบมัธยม อายุ 11 ปีสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เป็นเด็กที่เรียนเร็ว มีความเฉลียวฉลาด ไอคิวเกินมนุษย์ปกติธรรมดา โดยคนธรรมดาจะมีไอคิวประมาณ 90-100 แต่เด็กคนนี้กลับมีไอคิวถึง 140-150 และยังมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

     เราได้คำตอบว่าในขณะที่คุณแม่ตั้งครรภ์นั้นเมื่อมีเวลาว่างจะดูแลรักษาตัว เองอย่างดี และขณะเดียวกันตอนช่วงตั้งครรภ์ 4-5 เดือนสุดท้ายจะอ่านหนังสือให้ลูกฟัง และเวลาที่อ่านก็พูดกับตัวเองดังๆ ไปด้วย ซึ่งน่าแปลกที่ลูกออกมาฉลาดสมความตั้งใจของคุณแม่ เพราะลูกอายุเพียงขวบกว่าๆ ก็สามารถพูดได้เลย เรื่องนี้ประเทศตะวันตกกำลังสนใจมากทีเดียว และกำลังทำการทดลองอยู่ว่ามีวิธีการหรือไม่ที่จะสอนเด็กตั้งแต่อยู่ในท้อง แม่ แต่เรายังไม่แนะนำเพราะมันอาจทำให้เกิดผลดีหรือผลเสียก็ได้ถ้าทำมากเกินไป
 
อารมณ์ของคุณแม่ส่งผลถึงลูก
     จากการศึกษาวิจัยพบว่าหากแม่ที่ตั้งครรภ์มีปัญหาความเครียดด้านร่างกายหรือ จิตใจมากๆ เด็กที่คลอดออกมาก็จะมีปัญหาด้านพัฒนาการโดยเฉพาะด้านสมอง เพราะเวลาที่แม่มีอารมณ์แปรปรวนมักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายไปด้วย โดยจะหลั่งสารเคมีที่เกี่ยวกับฮอร์โมนความเครียดต่างๆ สามารถผ่านเข้าสู่รกและสายสะดือเข้าไปในเด็กได้ ทำให้สมองและระบบประสาทบางส่วนเกิดการพัฒนาการไม่ปกติ ถ้าแม่เครียดมากขณะตั้งครรภ์อาจทำให้ลูกมีอาการผิดปกติ เช่น อาการสมาธิสั้น ซุกซน ออทิซึม หรือมีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์หุนหันพลันแล่น
 
พัฒนาอย่างรอบด้าน
              
     การพัฒนาสมองของเด็กต้องเน้นการพัฒนาให้สมดุลกัน 4 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย พัฒนาด้านสติปัญญา พัฒนาการด้านอารมณ์ และพัฒนาการด้านสังคม เมืองไทยของเราทุกวันนี้คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในสังคมไม่ใช่คนที่ฉลาด ที่สุด ฉะนั้นการจะประสบความสำเร็จในชีวิตจึงไม่ได้อยู่ที่การเป็นคนเก่งหรือเรียน ดีอย่างเดียว หากอยู่ที่ความฉลาดคิดในด้านการควบคุมอารมณ์ จริยธรรม และมโนธรรมทางสังคมไปพร้อมกัน



ที่มา http://www.mothersdigest.in.th/article/118/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น