แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พัฒนาสมอง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พัฒนาสมอง แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

รู้จักพัฒนาการลูกและหน้าต่างแห่งการเรียนรู้


รู้จักพัฒนาการลูกและหน้าต่างแห่งการเรียนรู้




 

พัฒนาการด้านสายตา   

                
สิ่งที่เกิดขึ้น   ทารกสามารถมองเห็นตั้งแต่แรกเกิดแต่จะไม่เห็นในรายละเอียด และยังไม่มีความชำนาญในการใช้ตาทั้งสองข้างจ้องมองไปที่วัตถุสิ่งเดียว มองตามสิ่งที่เคลื่อนที่หรือสิ่งที่ซับซ้อน และยังไม่สามารถประสานการทำงานระหว่างมือกับตาได้   
สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ : ไม่จำเป็นที่ต้องไปซื้อของเล่นที่มีสีขาวดำตัดกันสูงเพื่อกระตุ้นการมองเห็น แต่ควรทดสอบตาอย่างสม่ำเสมอเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 2 สัปดาห์แรก ซึ่งสามารถตรวจพบปัญหาตาที่มองไม่ชัดจะได้แก้ไขทันท่วงที   
หน้าต่างแห่งการเรียนรู้ :  ระบบจักษุสัมผัสที่ได้รับการกระตุ้นทำงานตั้งแต่แรกเริ่มจะมีพัฒนาการตามปกติ
 
พัฒนาการวงจรประสาทความรู้สึก
สิ่งที่เกิดขึ้น   สมองส่วนควบคุมอารมณ์เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต เมื่ออายุ 2 เดือนทารกจะมีความสามารถแยกแยะความรู้สึกชอบและไม่ชอบ ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นความรู้สึกที่สมบูรณ์ทั้งสนุก เศร้า อิจฉา โกรธ ภาคภูมิใจ และอาย
สิ่งที่พ่อแม่ทำได้   ให้ความดูแลด้วยความรักเอาใจใส่ ซึ่งจะช่วยให้สมองของทารกซีกขวาที่ควบคุมอารมณ์ความรู้สึกถูกกระตุ้น การละเลยไม่เอาใจใส่ทารกจะทำให้เด็กหงอยเหงาสมองไม่เจริญเติบโตเต็มที่ และหากดุด่าว่ากล่าวจะทำให้เกิดความกังวลและมีการตอบสนองที่ตึงเครียดได้
หน้าต่างแห่งการเรียนรู้   พัฒนาการทางอารมณ์ในแต่ละช่วงวัยมีความสลับซับซ้อน และเริ่มต้นตั้งแต่เดือนแรกๆ  ของชีวิตที่มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่และผู้เลี้ยงดูจนถึงอายุ 3-4 ปี
 
พัฒนาการด้านทักษะภาษา
สิ่งที่เกิดขึ้น   ทารกในครรภ์จะได้ยินเสียงจังหวะหัวใจของแม่และเสียงพูดที่มีคล้ายเสียงดนตรี ทำให้เมื่อแรกเกิดจะหันหน้าตามเสียงได้บ้างแล้ว ต่อมาสมองจะติดตั้งวงจรที่จำเป็นสำหรับการแยกแยะเสียง การแปลความหมาย และพูดเป็นคำจนถึงบทกลอนสั้น ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างประโยคได้
สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ - นักวิจัยพบว่าการพูดคุยกับทารกบ่อย ๆ จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้คำใหม่ได้เร็ว ทารกมักจะสนใจฟังเสียงสูงและการร้องเป็นท่วงทำนอง ช่วยเชื่อมโยงเสียงคำพูดกับวัตถุและสิ่งรอบตัวได้
หน้าต่างแห่งการเรียนรู้   ทักษะทางภาษาเป็นสิ่งที่เติบโตตลอดชีวิต แต่จำเป็นต้องเริ่มในช่วงปฐมวัยโดยเฉพาะในขวบปีแรกถึงอายุ 3 ปี
 
พัฒนาการด้านการเคลื่อนไหว
สิ่งที่เกิดขึ้น   ทารกแรกเกิดสามารถเคลื่อนไหวแขนขาได้แต่ยังควบคุมไม่คล่องแคล่วนัก กระทั่งสมองพัฒนาก้าวหน้าจนสามารถควบคุมการเอื้อมคว้า นั่งคลาน เดิน และวิ่งได้
สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ - ให้ทารกมีอิสระได้เล่นสำรวจสิ่งต่างๆ อย่างปลอดภัย ซึ่งจะช่วยพัฒนาการด้านการทำงานระหว่างมือกับตาประสานกัน ในไม่ช้าเด็กก็มีความพร้อมทำกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การวาดรูป การเล่นดนตรี เป็นต้น  
หน้าต่างแห่งการเรียนรู้   ทักษะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใหญ่เริ่มตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์ แรกเกิด และตลอดช่วงปฐมวัย ส่วนการพัฒนาทักษะกล้ามเนื้อย่อยจะเริ่มตั้งแต่ขวบปีแรกจนตลอดชีวิต แต่จะเห็นชัดเจนเมื่ออายุ 4-6 เดือน - 10 ปี ซึ่งการใช้นิ้วเล่นดนตรีจะพัฒนาได้ดีในช่วงอายุ 5-10 ปี
แก้ไขล่าสุด: 19 ก.ค. 2554

เข้าใจลูกก่อนพัฒนาสมอง

เข้าใจลูกก่อนพัฒนาสมอง

 
                                               
     ในสมัยก่อนเรา รู้จักพัฒนาการของเด็กเป็นเพียงการเติบโตทางร่างกายเท่านั้น และมองว่าพัฒนาการเป็นเพียงการเลี้ยงลูกให้มีรูปร่างใหญ่ขึ้น มีความสามารถเพิ่มขึ้น เช่น จากคลานเป็นลุกนั่งได้ จากลุกนั่งเป็นยันตัวและก้าวเดินได้ ทั้งที่จริงความหมายของพัฒนาการกินความกว้างถึงความสามารถด้านสติปัญญา จิตใจ อารมณ์  สังคม จริยธรรม ความสามารถในการรับรู้ และแสดงออกของเด็กในวัยต่างๆ ด้วย เช่น เด็กวัย 2 ขวบจะสามารถจับดินสอขีดเขียนวงกลมบิดเบี้ยวได้ หากได้เขียนรูปกากบาท ก็จะได้ภาพกากบาทที่หยิกๆ หยักๆ แต่พอ 3 ขวบจะวาดวงกลมได้กลมจนสวยงามทีเดียว และเมื่อ 4 ขวบก็จะสามารถวาดสี่เหลี่ยมได้ และ 5 ขวบจะวาดรูปสามเหลี่ยมตามแบบที่เห็นได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กนั้นได้มีพัฒนาการทางสมองหรือสติปัญญาด้วย มิใช่พัฒนาการทางร่างกายอย่างเดียว


  เด็กมีพรสวรรค์ (Gifted Child)
     เด็กที่มีพรสวรรค์นั้นอาจเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเด็กมีความสามารถรับ รู้ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และความสามารถในการรับรู้ของทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์นั้น ทำให้เด็กมีลักษณะพิเศษและมีความเฉลียวฉลาดไปจนถึงผู้ใหญ่ได้ มีเด็กหลายคนที่มีพรสวรรค์เกิดมาอายุ 2 ขวบก็สามารถอ่านหนังสือของเด็กอนุบาลอายุ 5-6 ปีได้แล้ว เมื่อเติบโตประมาณ 5 ขวบ ก็อ่านหนังสือของเด็กระดับประถมและมัธยม จนเป็นที่ยอมรับว่าเด็กคนนี้มีความเฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ เวลานี้เราก็ได้พบว่ามีเด็กไทยคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษอายุ 9 ขวบสามารถเรียนจบมัธยม อายุ 11 ปีสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เป็นเด็กที่เรียนเร็ว มีความเฉลียวฉลาด ไอคิวเกินมนุษย์ปกติธรรมดา โดยคนธรรมดาจะมีไอคิวประมาณ 90-100 แต่เด็กคนนี้กลับมีไอคิวถึง 140-150 และยังมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

     เราได้คำตอบว่าในขณะที่คุณแม่ตั้งครรภ์นั้นเมื่อมีเวลาว่างจะดูแลรักษาตัว เองอย่างดี และขณะเดียวกันตอนช่วงตั้งครรภ์ 4-5 เดือนสุดท้ายจะอ่านหนังสือให้ลูกฟัง และเวลาที่อ่านก็พูดกับตัวเองดังๆ ไปด้วย ซึ่งน่าแปลกที่ลูกออกมาฉลาดสมความตั้งใจของคุณแม่ เพราะลูกอายุเพียงขวบกว่าๆ ก็สามารถพูดได้เลย เรื่องนี้ประเทศตะวันตกกำลังสนใจมากทีเดียว และกำลังทำการทดลองอยู่ว่ามีวิธีการหรือไม่ที่จะสอนเด็กตั้งแต่อยู่ในท้อง แม่ แต่เรายังไม่แนะนำเพราะมันอาจทำให้เกิดผลดีหรือผลเสียก็ได้ถ้าทำมากเกินไป
 
อารมณ์ของคุณแม่ส่งผลถึงลูก
     จากการศึกษาวิจัยพบว่าหากแม่ที่ตั้งครรภ์มีปัญหาความเครียดด้านร่างกายหรือ จิตใจมากๆ เด็กที่คลอดออกมาก็จะมีปัญหาด้านพัฒนาการโดยเฉพาะด้านสมอง เพราะเวลาที่แม่มีอารมณ์แปรปรวนมักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายไปด้วย โดยจะหลั่งสารเคมีที่เกี่ยวกับฮอร์โมนความเครียดต่างๆ สามารถผ่านเข้าสู่รกและสายสะดือเข้าไปในเด็กได้ ทำให้สมองและระบบประสาทบางส่วนเกิดการพัฒนาการไม่ปกติ ถ้าแม่เครียดมากขณะตั้งครรภ์อาจทำให้ลูกมีอาการผิดปกติ เช่น อาการสมาธิสั้น ซุกซน ออทิซึม หรือมีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์หุนหันพลันแล่น
 
พัฒนาอย่างรอบด้าน
              
     การพัฒนาสมองของเด็กต้องเน้นการพัฒนาให้สมดุลกัน 4 ด้าน ได้แก่ พัฒนาการด้านร่างกาย พัฒนาด้านสติปัญญา พัฒนาการด้านอารมณ์ และพัฒนาการด้านสังคม เมืองไทยของเราทุกวันนี้คนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในสังคมไม่ใช่คนที่ฉลาด ที่สุด ฉะนั้นการจะประสบความสำเร็จในชีวิตจึงไม่ได้อยู่ที่การเป็นคนเก่งหรือเรียน ดีอย่างเดียว หากอยู่ที่ความฉลาดคิดในด้านการควบคุมอารมณ์ จริยธรรม และมโนธรรมทางสังคมไปพร้อมกัน



ที่มา http://www.mothersdigest.in.th/article/118/%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%87