วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

คุยกับคุณ oneguy เรื่อง เด็กสมาธิสั้นพันธุ์แท้แต่เรียนรู้ได้แบบอัจฉริยะ

เป็นการตั้งข้อสังเกตของผม จากประสบการณ์บวกความรู้ด้านวิชาการ
ผสมผสานกับจินตนาการ เกี่ยวกับเด็กสมาธิสั้น หรือที่รู้จักกันว่า" ไฮเปอร์ "
หาก เราเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของเขาอาจเป็นกุญแจสำคัญของการจัดการเรียนการ สอนที่เหมาะสมกับศักยภาพของเด็กส่วนใหญ่ให้เรียนรู้อย่างมีความสุขและความ ภูมิใจได้เพราะเด็กสมาธิสั้น คือเด็กที่มีสมาธิอย่างมากในสิ่งที่เขาชอบและสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือภาพ หรือวัตถุที่เคลื่อนไหว มีสีสรร เสียงสูงๆต่ำๆ
จังหวะทำนองของดนตรี  สิ่งเร้าต่างๆในธรรมชาติรอบตัว
เขาชอบสำรวจ สังเกต ทดลองทำซ้ำ เก่งด้านดนตรีและกีฬา  เรียนรู้อย่างเชื่อมโยง  เข้าใจสิ่งใหม่ๆได้ดี จากการสังเกต  สังเคราะห์  และมองเห็นภาพรวม ร่วมกับ
การเคลื่อนไหว และการฝึกปฏิบัติ
ด้วยพลังของสมองที่ไม่หยุดนิ่ง ชีวิตของพวกเขาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่จึงเคลื่อนไหว ทั้งร่างกายและจิตใจด้วยศักยภาพแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่นอกกรอบ และชอบสัญจรไปทั่ว  คือวิถีการเรียนรู้  ในลักษณะเดียวกับอัจฉริยะบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
ได้ด้วยตนเองในสาขาวิชาที่เขาชอบและสนใจ
แต่เราอาจไม่พบประวัติการเรียนดีของเขาเช่นเดียวกับที่เราไม่พบประวัติการเรียนดี ในวัยซนของบุคคลอัจฉริยะจำนวนมากในหลากหลายสาขาด้วยการศึกษาในรูปแบบเก่า จนถึงปัจจุบันที่เน้น การสอนเพื่อสอบให้ได้คะแนนดีทุกวิชา ด้วยการนั่งฟังครูสอนในห้องเรียน
เน้นอ่าน  เขียน ท่องจำ ทำการบ้านที่มากเกินไป  ทำให้เบื่อหน่ายและมองไม่เห็นคุณค่าสาระประโยชน์ในสิ่งที่เรียนเด็กที่ซน และ เหม่อ พูดไม่หยุด เราจะเห็นว่า
เขามีความฉลาดในการสังเกต ไหวพริบโต้ตอบเอาตัวรอดเก่งมาก ครูจึงบอกว่าเขาเป็นเด็กหัวดี แต่ขี้ลืม ขี้เบื่อ ไม่ตั้งใจไม่ใส่ใจ ชอบคุย เล่นดินสอ เหลากบใต้โต๊ะ
และชอบเหม่อ ในห้องเรียน  จดงานไม่ทัน ซุกการบ้าน
ก็เพราะเด็กสมาธิสั้นไม่มีสมาธิพอในสิ่งที่เขาไม่สนใจและไม่รู้ว่าจะไปเชื่อมโยงกับอะไร
(
เหมือนกับผู้ใหญ่ในโลกของไอที ที่มากไปด้วยข้อมูลจึงจับแต่ประเด็นที่อยู่ในความสนใจ และมีประสบการณ์ตรงเท่านั้น และไม่ชอบอ่านยาวๆ)
เขาเรียนรู้จาการสัมผัส ปฏิบัติ ทดลอง ด้วยประสบการณ์จริงก่อน แล้วจึงคิดต่อยอดด้วยจินตนาการ เพราะทำให้เขารู้สึกไม่จำเจ ไม่เบื่อ
จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
ของเด็กสมาธิสั้นจึงไม่มีขีดจำกัด
การเรียนรู้ของเขาจึงแตกต่าง ( Learning Difference)และเป็นการเรียนแบบ ( Learning by Doing) ในสิ่งที่เขาถนัดและสนใจก่อน
หากแต่วงการศึกษา และทางการแพทย์ ให้คำจำกัดความถึงความไม่ถนัดในการอ่านเขียนว่าเป็น Learning Disability หรือ L.D. (แอลดี) ซึ่งพบได้ราว หนึ่งในสี่ของเด็กสมาธิสั้น(ทั้งแบบซนและเหม่อ)

ทำให้ครูผู้ปกครองเข้าใจผิดว่าเขาคงจะเรียนรู้อะไรไม่ได้ เพราะไม่สนใจไม่ชอบ และมีปัญหาการเรียนด้านภาษา(สมองของเด็กสมาธิสั้น หรือไฮเปอร์ เปรียบเสมือนเรดาร์ คอยดักจับแต่เรื่องที่สำคัญ ที่เขาสนใจ   ทำงานได้พร้อมกันหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน  (multitasking)
หูของเขาเหมือนโซน่า ที่ไวต่อความถี่ของเสียงทุกประเภทในเวลาเดียวกัน   โดยเฉพาะเสียงดุ ว่า บ่น ด่า นินทาจะหูผึ่งรวมถึงเสียงสูงๆต่ำๆ ที่ให้อารมณ์ทั้งหลาย จะช่วยให้เขาขยับตัว  ละความสนใจ ออกจากภวังค์แห่งสมาธิที่หลอมรวมเขาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว   กับสิ่งที่เขากำลังสนใจ หรือเหม่อและกำลังฝันกลางวัน (มีจินตนาการ) ในขณะนั้น
ครูและผู้ใหญ่จึงทึ่ง และแปลกใจที่ ดูเหมือนเขาไม่ได้ตั้งใจฟังเวลาครูสอน หรือเวลาผู้ใหญ่คุยกันแต่ถามอะไรกลับตอบได้หมด  แต่เวลาจด กลับไม่ทัน ต้องคอยมองเพื่อน สะกดคำ,อ่านและเขียน) 
จากคุณ : one guy - [ 11 ก.พ. 50 01:08:00 ]
เป็นความรู้อย่างมากเลยค่ะ..ขอบคุณมากๆ...คุณพอจะทราบเรื่องเด็กชอบเดินด้วยปลายเท้าบ้างไหม๊ค่ะ?
จากคุณ : Gators - [ 11 ก.พ. 50 04:48:23 ]
คุณ Gators ครับ
เด็กที่เดิน หรือวิ่งเขย่งเท้า อย่างคล่องแคล่ว ตอน ขวบครึ่ง
ถึง สองขวบขึ้น   ให้สังเกตดูว่า เขามองหน้าสบตาเราดีหรือไม่ รู้จักสื่อภาษาด้วยสายตาหรือเปล่า
รับรู้อารมณ์ของผู้ใหญ่หรือไม่   เล่นเลียนแบบเป็นไหม
รู้จักกลัวคนแปลกหน้า และกลัวว่าแม่หรือคนเลี้ยงจะหายไป คอยหันมองหาหรือไม่
ถ้าไม่ค่อยจะสบตา ไม่ค่อยจะคอยมองหน้าใคร สนใจแต่
วัตถุ สิ่งของ และไม่ค่อยมอง หรือเล่นตอบสนองกับตัวเองหน้ากระจก  รวมถึงไม่ค่อยชี้นิ้ว เพื่อให้คนอื่นมองของที่ตัวเองสนใจ  
ให้นึกถึงเรื่องของออทิสติกเผื่อไว้ด้วยครับ
เด็กสมาธิสั้นพันธุ์แท้จะรับรู้สถานการณ์ในสิ่งแวดล้อมดีมาก
ตอบสนองทุกอารมณ์ของผู้ใหญ่ ได้เก่งตั้งแต่หนื่งขวบปีแล้วครับ 
ตาของเด็กสมาธิสั้น คือตา สับปะรด คือมองเห็นไปหมด
หากเปรียบกับเลนส์ ก็เหมือนเลนส์ดีที่ปรับซูมได้แบบตัวเดียวเที่ยวทั่วไทย ทั้ง MacroและWide แถมคุณลักษณะของ Intelligent eye ที่สอดส่าย และวอกแวกมองหาสิ่งที่น่าสนใจในขณะนั้นได้รอบทิศ
ความเก่งในเรื่อง การจับอารมณ์บนใบหน้า เป็น Multiface detection แถมด้วย Multi  Emotional  Sensitive  Censor  ขนาดใหญ่  จึงขี้น้อยใจมาก สะเทือนใจ ร้องไห้ง่าย
โดยเฉพาะเวลาโดนบ่น โดนว่า
เป็นผลพวงจากการเลี้ยงดูที่มีมาแต่วัยเด็ก เพราะความซน ไม่นิ่ง วิ่งไปทั่ว
ซุ่มซ่าม ไม่ทันระวัง ไม่ทันฟัง เหม่อ และดื้อ
จากคุณ : one guy  [ 11 ก.พ. 50 08:16:31 ]
ขนาดนั้นหรือครับ ... หลานสาวผมเค้าไม่เห็นเป็นอย่างที่ว่า
เค้าเรียนไม่ทันเพื่อนเพราะเค้ามีสมาธิสั้น ... แก้ไขอะไรไม่ได้เลย

จากคุณ : 30:36 ]
ลูกสาว(ป. 4 )เล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนเค้าคนนึง เป็นเด็กออทิสติก แต่เรียนร่วมกับเด็กธรรมดาได้ โดยมี่คุณแม่ของเค้ามานั่งเฝ้าตลอดเวลา
เพื่อนลูกคนนี้ สามารถพูดคุยสื่อสารกับคนอื่นได้รู้เรื่อง เป็นที่รักของเพื่อนๆ(อันนี้คิดว่าคงเป็นเพราะคุณแม่เค้าเป็นคนน่ารักด้วยมั้งคะ)  แต่ก็มีบางครั้งที่แกจะพูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายๆครั้ง จนเพื่อนๆขำ แต่ลูกสาวบอกว่า เพื่อนคนนี้ เก่งวิชาคณิตศาสตร์มากๆ
เคยได้ยินชื่อแม่ก้อยหรือเปล่าคะ แม่ก้อยคนนี้เธอเป็นยอดคุณแม่ที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษชื่อน้องนนท์
แม่ก้อยเขียนบทความเกี่ยวกับน้องนนท์ ซึ่งเป็นออทิสติกไว้เยอะมาก อ่านแล้วน้ำตาไหลทุกครั้งเลยค่ะ
จากคุณ : พจ 11 ก.พ. 50 08:49:05
เคยมีนักเรียน(มหาลัยนะคะ) เป็นattention deficit disorder ไม่รู้ว่าอันเดียวกับhyperactiveหรือเปล่า
เริ่มเข้าเรียนครั้งแรก เธอมาพร้อมกับจดหมายจากadminของมหาลัยว่าให้อำนวยความสะดวกนักเรียนท่านนี้ให้มากที่สุด เธอต้องการการสอนที่พิเศษหน่อย เธอจะเข้ามาสอนเราว่าให้สอนเธออย่างไร เช่นใช้ตัวอย่างที่มีรูปภาพชัดเจน อย่าใช้สไลด์ที่ตัวอักษรมาก แล้วเวลาสอบ เธอจะได้นั่งในห้องพิเศษ คือไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิเธอได้ แล้วเธอจะไม่กาคำตอบลงในกระดาษคำตอบเพราะเธอสมาธิสั้น เธอจะวอกแวกเมื่อเห็นตัวช๊อยส์abcdeกันเป็นพืด เธอจะขอกาบนสมุดคำถาม และก็ต้องให้เวลาเธอทำข้อสอบนานกว่าชาวบ้านเท่านึง วันนั้นรอเธอทำสอบเสร็จเกือบสี่ทุ่ม คนอื่นเค้าเสร็จตั้งแต่สองทุ่มกว่า
แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ค่อยได้เข้าเรียน...เพราะในห้องดันมีนักเรียนหูหนวกสนิท ต้องการinterpreterภาษามือมานั่งหน้าห้องส่งภาษามือให้ตลอดเวลา เธอบ่นว่าเซ็ง ไม่นึกว่าจะมีเด็กพิเศษพร้อมกันในห้องเดียวกัน แถมเธอเรียนไม่ได้เลย มัวแต่มองภาษามือ ช่างบังเอิญจริงๆ
ขอบคุณนะคะที่เอาความรู้มาแบ่งปัน
จากคุณ : kanu_memphis
คุณ plang_ks และคุณพจมาร ครับ
เด็กสมาธิสั้นนั้น
คนส่วนใหญ่ยังสับสนปนกันกับเด็กออทิสติก
และเด็กปัญญาอ่อน หรือปัญญาทึบ
เด็กออทิสติก มี 10 % ที่เรียก แอสเปอร์เกอร์ หรืออัจฉริยะของออทิสติก
จำข้อมูลละเอียดยิบได้แบบเหลือเชื่อ เช่นปฏิทิน 100 ปี
หรือมีความเก่งพิเศษ บางด้าน เช่น ตัวเลข การวาดภาพแบบ Xerox  เก็บรายละเอียดได้หมด
อาจยังมีปัญหาการพูด   สื่อสาร และจะยังมีลักษณะ ไม่เข้าใจสถานการณ์ของสังคม
ไม่เข้าใจอารมณ์ หรือมุขตลก  ภาษาพูดจะตรงๆ ซื่อๆ
ออกจะไร้อารมณ์  หรือยึดถือตรงตามความหมายของคำพูด
และตัวอักษรข้อความ  โดยไม่ยืดหยุ่น แต่โกหก หลอกใครไม่เป็น และขาดจินตนาการของสมองซีกขวา
ตรงข้ามกับเด็กสมาธิสั้น ที่มีทักษะทางสังคม เก่งมาก
รู้จักพลิกแพลง มองข้ามช็อต หรือมีเล่ห์เหลี่ยม
เอาตัวรอดแบบศรีธนนชัย  ตอบโต้ ให้เหตุผลหรือกล่อม
เอาชนะผู้ใหญ่ได้  ตั้งแต่ 3-4 ขวบแล้วครับ
ส่วนเด็กปัญญาอ่อนจะตามไม่ทัน ในทุกเรื่อง ของการเรียนรู้
และพัฒนาการของกล้ามเนื้อช้า แต่มีลักษณะ ซน ไม่นิ่งได้
แต่เป็นแบบสมองไม่ค่อยรับรู้
สมาธิสั้นพันธุ์แท้ คือ Attention Deficit Hyperactivity Disorder   หรือ ADHD   นั้นฟันธงว่าเป็นเด็กหัวดี และฉลาด พูดจาเก่ง  และสังคมจัด (ถ้าไม่กลายพันธุ์ไปก่อนจากการเลี้ยงดู ที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของเขา คือ ซน เหม่อ ดื้อ )

50%
ของเด็กสมาธิสั้น ไม่มีปัญหาการเรียน และ
ยังเรียนเก่งระดับ 80 % ขึ้นไป ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ,2ได้
อีก 50 % มีปัญหาการเรียนปานกลาง จากการขาดสมาธิ
และหรือความสับสน ตกหล่นในตัวอักษร จะเรียนๆเล่นๆ
เรื่อยๆ เหมือนไม่เอาใจใส่นัก  เก่งกิจกรรมสารพัด แต่ไม่ตก
แล้วเริ่มขยันเป็น  ม้าตีนปลายช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย  สอบเข้าแพทย์  วิศวะคอม เศรฐศาสตร์ หรือคณะที่มีคะแนนสูงๆ ที่ชอบและสนใจได้
และอีก 25% มีปัญหา LD ที่สำคัญมาก คือ
DSYSLEXIA
คือเด็กสะกด คำไม่ได้เลย  แม้จะจบ ป. 6 แล้ว แต่พบว่าเขามีพรสวรรค์อย่างมาก ในด้านอื่นอีกหลายด้าน
ให้เห็นตั้งแต่ประถมต้น ทั้งดนตรี  กีฬา  ศิลปะ การปั้น วาดรูป  งานออกแบบ งานประดิษฐ์  รื้อ แกะ ซ่อม การเต้น การแสดง  การพูด และคอมพิวเตอร์
ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใหญ่จะมองเห็น และพัฒนาศักยภาพ
อีกหลายด้าน ให้เขาภูมิใจ ได้หรือไม่ หากเขายังคงสะกดคำ เขียน อ่านหนังสือไม่ได้  เพราะสมองซีกซ้ายไม่ถนัด  แต่เก่งทุกอย่างของสมองซีกขวา
จากคุณ : one guy - [ 11 ก.พ. 50 12:54:17 ]
คุณ Kanu ครับ
เมื่อแรกๆ  เขาตั้งชื่อ เด็กสมาธิสั้นว่า ATTENTION
DEFICIT DISORDER
หรือ ADD คือ ขาดสมาธิ เป็นลักษณะเด่น
แต่ต่อมาพบว่าเด็กมีลักษณะซนมาก เหมือนติดมอเตอร์ ตั้งแต่เล็ก จึงเรียกใหม่ว่า   ATTENTION DEFICIT HYPERACTIVITY DISORDER หรือ ADHD
พบว่าสมาธิสั้นในเด็กผู้หญิง มักเป็นแบบขาดสมาธิ(ADD) เหม่อ ฝันกลางวัน แบบ Day Dreamerไม่ค่อย ยุกยิก หรือ ซนให้เห็น
ส่วนเด็กผู้ชาย พบว่าเป็นสมาธิสั้นในสัดส่วนที่มากกว่า
และโดยมากเป็นแบบ ซนและเหม่อ(ADHD)
จากคุณ : one guy - [ 11 ก.พ. 50 14:02:43 ]
อืม เพิ่งเข้าใจความแตกต่างก็วันนี้แหละค่ะ คุณone guy ทำงานเกี่ยวกับเด็กหรือเปล่าคะ เพราะในห้องนี้มีลูกที่พูดช้ากันบ้าง อยากทราบว่า เด็กพูดช้าที่มีความผิดปกติกับไม่ผิดปกติทางสมองจะมีข้อแตกต่างให้เป็นจุดสังเกตุอย่างไรบ้างคะ ขอบคุณค่ะที่ตอบมาซะไว ทันใจแม่ๆใจร้อนอย่างเรา
จากคุณ : kanu_memphis
ลูกเป็นอยู่ค่ะ  ไปปรึกษากับคุณหมอที่รามามาฝ่ายจิตเวชเด็ก  เนื่องจากเลี้ยงเค้าแล้วเครียด  เพราะไม่รู้  ไม่เข้าใจเค้า  พอรู้และเข้าใจอาการเค้าอย่างลึกซึ้ง  กลับมาเสียใจมากเลยค่ะที่เคยตีเค้า  ดุด่าเค้าตอนที่เราเอาเค้าไม่อยู่  เค้าเปอร์จนป่วนมากๆ
หลังจากคุยกับคุณหมอ  อ่านค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม  ปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดูเค้าใหม่  พยายามใจเย็นขึ้น   ตอนนี้เค้าดีขึ้นมากเลยค่ะ คุณครูที่โรงเรียนก็ให้ความร่วมมือดีมาก  ตอนนี้คุณครูก็ชมเค้าเกือบทุกวันว่าเค้าดีขึ้นเป็นลำดับ
ขอยืนยันอีกคน  เด็กสมาธิสั้นเนี่ยฉลาดจริงๆค่ะ  และก็มีความสามารถพิเศษกับสิ่งที่เค้าสนใจได้ดีและเรียนรู้ได้เร็ว  เวลาเรียนเค้านั่งโยกเก้าอี้  มุดโต๊ะ  แหย่เพื่อน  ไม่ฟังคุณครูสอนเลย  แต่เวลาถาม  เค้าตอบได้หมดจนครูงง  และเรียนรู้อะไรได้ไวกว่าเพื่อนคนอื่นในชั้นเรียนค่ะ
จากคุณ : YingPla  [ 11 ก.พ. 50 18:40:11 ]
อ่านกระทู้นี้แล้วเหมือนลูกจะเข้าข่ายเด็กสมาธิสั้น แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ เค้าฉลาดนะ เลียนแบบผู้ใหญ่ก็เก่ง ชอบเดินเขย่งเท้าแต่ไม่บ่อย สอนอะไรถ้าชอบก็ทำ ถ้าไม่ชอบก็ไม่เอา แล้วก็เป็นเด็กไม่ชอบอยู่นิ่งๆ ให้นั่งนิ่งๆ 1นาทียังไม่ได้เลย ซนมาก ๆ แต่ใจก็คิดว่าอาจเป็นเพราะเป็นเด็กผู้ชายจึงซนมากเป็นเรื่องปกติ ยังไงก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย ขอบคุณคุณ one guy มากๆ เลย แล้วมีวิธีส่งเสริมหรือให้เค้าเรียนในสถานที่แบบไหนดีคะ ช่วยตอบด้วยนะคะ
จากคุณ : gettomom
ใช่ค่ะ ตอนน้องแม็คเข้า ป.1 ใหม่ๆ ครูสงสัยว่าเขาปัญญาอ่อน เรียกแม่น้องแม็คไปพบ แต่เมื่อเอาใบรับรองแพทย์ไปยืนยันว่าน้องแม็คแค่สมาธิสั้น และยังต้องอธิบายอาการสมาธิสั้นให้ครูฟังอีกนาน..ในที่สุดครูก็ยอมรับ และหยวนๆกับน้องแม็ค
เหมือนเขาจะไม่ค่อยตั้งใจเรียน ไม่ค่อยสนใจเพื่อน เขียนหนังสือถูกๆผิดๆ สับสนเรื่องคำและภาพ (แบบฝึกหัดการโยงจับคู่คำกับภาพ) และระบายสีภาพได้เลอะเทอะที่สุด...
แต่เมื่อสอบเทอมนี้ น้องแม็คได้คะแนนวิชาคณิต 19 เต็ม 20 วิชาอื่นๆ 18 17 16 ไม่น้อยกว่านี้เลย เล่นเอาครูอึ้ง เพื่อนก็อึ้ง แต่พวกเราทั้งบ้านเฮกันใหญ่ เจ้าตัวก็ยิ้มเห็นฟันหลอๆ เวลาใครชม แหม...เขาทำท่าเขินได้น่าเตะที่สุดเลย
จากคุณ : วาซีน่า เรน  [ 12 ก.พ. 50 10:56:11 ]
น้องเราก็เป็นนะ ตอนนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว อยากทราบที่เรียนที่เหมาะกับเค้าค่ะ หรือหลักสูตร พัฒนาเกี่ยวกับ ตัวเค้าค่ะ เนื่องจากว่าปีที่แล้ว เค้าซ้ำป.1 และก็ยังไม่แน่ใจว่า ปีนี้จะต้องซ้ำอีกหรือเปล่าค่ะ เวลาถาม คำถามข้อสอบแกตอบได้ค่ะ แต่เวลาทำข้อสอบ แกไม่ยอมเขียนท่าเดียวเลย ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เศร้าๆๆ ตอนนี้ก็ได้แต่ พยายามฝึกแกเขียน-ตอบข้อสอบ ค่ะ ปีนี้ยังต้องลุ้นว่าแกจะทำข้อสอบ หรือเปล่า ลุ้นๆๆๆ รบกวนช่วยบอกที่เรียนหรือหลักสูตรพัฒนาด้วยค่ะ ผู้รู้ทุกท่าน...  ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าค่ะ
จากคุณ : พี่สาว... (laseng)[ 13 ก.พ. 50 11:06:59 ]
คุณ kanu ครับ
ผมจบป. ตรีทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมีโอกาสเรียนต่อทางด้านจิตวิทยาเด็ก แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านสมองโดยตรงครับ
นอกจากงานประจำที่ทำอยู่เป็นแบบ Freelance แล้ว ก็มีโอกาสทำงานเป็นที่ปรึกษา  ให้กับองค์กร
มูลนิธิด้านพัฒนาเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยง

ความสนใจด้านการทำงานของสมอง
เป็นความชอบส่วนตัว   ตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษา
สายวิทยาศาสตร์การแพทย์ของ ม.มหิดล
บวกกับความรู้จากคณาจารย์ด้านจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก
ที่สอนในระดับปริญญาเอก  และพบเห็นเด็กกลุ่มเสี่ยงมา
หลายปี  พอที่จะจินตนาการมาเล่าสู่กันฟังได้บ้างครับ
ปัญหาของเด็กพูดช้า ผมคิดว่าควรพบแพทย์เฉพาะทาง
อาจเป็นกุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก , ด้านสมอง หรือจิตแพทย์เด็ก แขนงใดแขนงหนึ่งก่อน น่าจะดีนะครับ
จากคุณ : one guy - [ 14 ก.พ. 50 20:44:30 ]
คุณ gettomon ครับ
ในเด็กสมาธิสั้นและเด็กที่มีปัญหาอ่าน เขียน( Dyslexia )
พลังแห่งการสังเกต มองเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ
พลังแห่งความคิดและจินตนาการสร้างสรรค์
รวมถึงพลังแห่งการเคลื่อนไหว และรับรู้ตัวเอง
ในสิ่งแวดล้อม   และความทรงจำในเรื่องของภาพ
จะเด่นมาก  ที่เรียกว่า  visual  หรือ photographic
memory
เด็กกลุ่มนี้ จึงเก่งด้าน ศิลปะ การออกแบบ การ
ปั้น  การต่อประกอบ  การประดิษฐ์ และเก่งด้านดนตรี กีฬา
การหากิจกรรมเหล่านี้ให้เขาเล่น และเชื่อมโยงไปหา
ตัวหนังสือ เช่น ปั้นดินน้ำมันเป็นตัว ก   A  B C
หรือการเลือก บทกลอน นิทาน และ เพลงสนุกๆ
(
สมัยผมก็มีนิทานร้อยบรรทัด)  อ่านให้ฟัง และเปิด
ชี้ให้ดูภาพ ตั้งแต่  6 เดือน
สมองของเด็กจะแยกแยะเสียงและเชื่อมโยงกับภาพได้เก่งมาก
สร้างบรรยากาศที่ดีให้เขาได้สัมผัสอารมณ์ดี  ช่วยให้เขาตอบสนอง
ทางอารมณ์ มองคน และ มองโลกในแง่ดี ครับ
แต่การดูภาพเคลื่อนไหวของ TV นานเป็นชั่วโมงในเด็ก
เล็กก่อน 2, 3 ขวบปีแรก มีผลเสีย ตามกระทู้ข้างบนครับ

TV
ทำให้เด็กขาดการเชื่อมโยง  ส่งผลให้พัฒนาการพูดช้า
และมีลักษณะที่ไม่นิ่งมาก  รวมถึงลักษณะบางอย่างที่
คล้าย ออทิสติก คือ ไม่ตอบสนอง ต่อเสียงเรียก
และไม่ค่อยสนใจมองใบหน้าคนอื่น ไม่เข้าใจอารมณ์
ขาดการมองเห็นภาพรวม และขาดการเชื่อมโยงของประสาทสัมผัส 
แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 21:04:18 จากคุณ : one guy
คุณพี่สาว Laseng อย่าเพิ่งเซ็ง หรือท้อนะครับ
ควรขอความเห็นจากคุณครูของน้องก่อน
ถ้าครูเห็นว่าเด็กรู้เรื่อง หัวดี ก็ไม่น่าห่วงมาก
อาจมีปัญหาขาดแรงจูงใจ หรือ ไม่ค่อยปรับตัว
ค่อยๆสร้งบรรยากาศให้สนุกกับการขีดเขียน
โดยไม่ต้องบังคับหรือเป็นอารมณ์
และสิ่งที่สำคัญมากของการสร้างแรงจูงใจนั้น
ให้เริ่มที่ฝึกให้เขา ทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ในทุกๆเรื่อง
เอาพลังงานที่เหลือเฟือของเขา
มาบริการเราเล็กๆน้อยๆ และและชมเขาบ่อยๆ
เขาอยากทำเพราะต้องการความรู้สึกชื่นชมจากเราครับ
จากคุณ : one guy - [ 15 ก.พ. 50 07:49:10 ]
ขอบคุณคุณ one guy ค่ะ ตอนนี้ลูก 1ขวบ 5เดือนค่ะ ให้ดูทีวีบ้างพร้อมกับพ่อแม่ เค้าชอบดูโฆษณาค่ะ ไม่ค่อยได้ดูการ์ตูนเท่าไร เห็นบางคนบอกดูพวกบาร์นนี่ที่สอน abc อะไรก็น่าจะได้ แต่ไม่ควรให้ดูนาน ๆ ใช่มั้ยคะ แต่ลูกชายก็ชอบปิดทีวีด้วยล่ะ ไม่ค่อยได้ดูนาน ๆ หรอกค่ะ ส่วนเรื่องเหม่อลอยนี่ไม่มีค่ะ แต่เค้าเป็นเด็กซนมาก และอารมณ์ร้อน(เหมือนแม่) เวลาทำอะไรไม่ได้ดังใจ หรือโดนบังคับ (แต่เด็กส่วนมากก็เป็นแบบนี้ใช่มั้ยค่ะ) เคยให้เค้าลองนับ 1-10 เมื่อก่อนก็พูดตามพักหลัง ไม่เอา อย่างเดียว ก-ฮ พอท่องให้ฟังก็ ไม่เอา อย่างเดียว คือเค้ารู้ว่าเราชอบร้องเพลงนี้ให้ฟังก่อนนอน เค้าจะไม่เอาไว้ก่อนเลย เหมือนรู้ว่าแม่จะเริ่มสอนอีกแล้วนะ เราสอนเค้าเร็วไปเหรอคะ แค่ร้องเป็นเพลงนะ ไม่ได้ให้มานั่งเรียนหรือเปิดหนังสือให้อ่าน ดูแล้วเหมือนลูกไม่ชอบหนังสือเลย โตขึ้นจะรักการอ่านไม๊เนี่ย
จากคุณ : gettomom.พ. 50 

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=281888

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

เมื่อโดนละเมิดลิขสิทธิ์ภาพถ่าย

จากที่การเล่นแผลง ถ่ายรูปเล่นๆ กลายเป็นการกด like กันเป็นแสน
ซึ่งได้เคยเขียนบันทึกไว้ที่ แสนไลค์มีฮา
จากนั้นก็กลายเป็นกรณี เมื่อโดนละเมิดลิขสิทธิ์ภาพถ่าย

แรกเริ่มมีพี่ได้ sms ข้อความว่า



จากนั้นก็เลยของเข้าดูที่ link 
http://spcy.us/2ps
ก็เป็นอย่างที่เห็น มีการนำรูปเข้าไปใช้ในการเล่น กด vote

วิธีการเล่นคือ ใส่เบอร์โทรแล้วกด vote 

แล้วจะมีข้อความขอบคุณ
ดังนั้นก็เลยหาข้อมูล แล้วก็มีเพื่อนใน fb ส่ง link เกี่ยวกับกฎหมายลิขสิทธิ์ภาพถ่าย
http://www.srinawaratt.com/index.php?option=com_content&view=article&id=101%3Acopyright&catid=2%3Anews&Itemid=7
ก็เข้าข่ายหลายข้อเลย


fan page spicymobile  http://www.facebook.com/spicymobile
วิธีเล่น
กด *4560000 แล้วโทรออก

*ค่าบริการ 7บาท/สัปดาห์ ทุกเครือข่าย (ใช้ฟรี 7วัน)

เป็นของเจ้า TV PooL

Jakapong Pongpaiboon  เป็น Marketing ของ TV Pool
E-mail : jakapong@tvpoolmail.com
Tel : 089-8130621        
Chettaphong Printhong  เป็น Technical ของ TV Pool
E-mail : chetth@tel.co.th
Tel : 081-4839799           
บริการนี้เปิดเมื่อวันศุกร์ที่ 30 พ.ย. 2555 
chuchars 
ขอบคุณมากครับพี่เก๋
แล้วเราทราบไหมครับว่ามี subscriber จำนวนเท่าไหร่ครับ
Kassaya Kiatjindavong 
ยินดีรับใช้ค่า
ต้องไปเช็คกับ Marketing เลยอ่ะ 
ส่ง mail ไปถาม Marketing ของเราก็ได้
ชื่อต้อม สุญดา
Tel.4375  089-020-2888




วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2556

แพนเค้กซอสส้ม มีฮา

    ด้วยความที่ช่วงนี้แม่กับยายเริ่มบ่นว่ามีฮาเริ่มไม่ค่อยกินข้าวแล้วสิ
เอางี้แล้วกัน เบื่อข้าว งั้นพ่อขอครีเอทเมนูใหม่ให้แล้วกัน

1. เริ่มจากตีแป้งเลยแล้วกัน
ส่วนผสมมีดังนี้ครับ
- แป้งเอนกประสงค์ 8 ช้อนโต๊ะ
- ไข่ไก่ 1 ฟอง
- น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
- เนย 15 กรัม
- เกลือนิดหน่อย
- เนื้อไก่+เนื้อปลา+ผักกาด+ผักแขนง ที่ผ่านการต้มแล้ว สับให้ละเอียด


2. ตีส่วนผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน

3. นำลงไปทอดทีละ 1 ช้อนโต๊ะ (ใช้เนยทอดจะหอมมาก)

4. จากนั้นทำซอสส้มราดหน้าแพนเค้กน้อยๆ ต่อโล้ด
ส่วนผสมก็แสนง่าย
- น้ำเปล่า 80 กรัม
- น้ำตาลทราย 40 กรัม
- แป้งข้าวโพด 15 กรัม
- น้ำส้มซันควิก 50 กรัม
- เนย 15 กรัม
   นำส่วนผสมลงในหม้อแล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อน ยกเว้นเนย ให้ใส่ตอนที่ซอสส้มเริ่มร้อนแล้ว


5. นำมาราดแพนเค้กได้เลย

วันนี้เจ้าลูกสาวอยู่หมัดจัดเต็ม 555 อย่าให้รู้นะว่าเบื่ออาหาร ไม่งั้นจะโดนกลายเป็นหนูทดลองเมนูใหม่ๆของพ่ออีก





วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

แก้ร้อนใน ปากเป็นแผล ด้วยอาหารฤทธิ์เย็น


แก้ร้อนใน ปากเป็นแผล ด้วยอาหารฤทธิ์เย็น

การทำน้ำย่านาง นำสมุนไพรฤทธิ์เย็นเท่าที่หาได้ไม่ยากไม่ลำบาก
ล้างใบย่านางให้สะอาด


ล้างใบเตย ใบหญ้าม้าให้สะอาด
ซ้ายใบเตยประมาณ20ใบ ขวาใบหญ้าม้าประมาณ20ใบ 



หั่นซอยแล้วไม่เกิน1นิ้ว


เตรียมน้ำแข็ง


เตรียมกระชอนตาถี่


ใส่ใบย่านาง,ใบเตย,น้ำแข็ง7ก้อน,น้ำกรองสะอาดลงในโถปั่น


ปั่นแล้วกรองด้วยกระชอนตาถี่ ช้อนฟองออก จะได้น้ำย่างยาเข้มข้น


กากที่ปั่นซ้ำ8ครั้งแล้ว ยังมีสีเขียวอยู่


น้ำที่ปั่นจากกากครั้งที่9 ยังมีสีเขียว นำมาสวนลำใส้ใหญ่(ดีท็อกซ์)


ปั่นน้ำได้1.5ลิตร4ขวด=6ลิตร
ขวดซ้านสุด ปั่นครั้งที่1-2  ขวดที่2จากซ้าย กากปั่นครั้งที่3-4
ขวดที่3จากซ้าย กากปั่นครั้งที่5-6  ขวดที่4จากซ้าย กากปั่นครั้งที่7-8


เก็บไว้ในตู้เย็น ในช่องธรรมดา ดื่มได้4-5วัน
หากเก็บในช่องแช่แข็ง เก็บไว้ได้เป็นเดือนครับ 

การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐาน (Brain-based Learning) สำหรับเด็กปฐมวัย


การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐาน (Brain-based Learning)
สำหรับเด็กปฐมวัย

            ช่วงระยะเวลาที่สำคัญที่สุดสำหรับการเรียนรู้ของมนุษย์คือ  แรกเกิดถึง 7 ปี  หากมาส่งเสริมหลังจากวัยนี้แล้วถือได้ว่าสายเสียแล้ว เพราะการพัฒนาสมองของมนุษย์ในช่วงวัยนี้จะพัฒนาไปถึง 80 %ของผู้ใหญ่  ครูควรจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับวัยของเด็ก  ให้เด็กเรียนรู้ผ่านการเล่น  เรียนรู้อย่างมีความสุข  จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม  ดูแลด้านสุขนิสัยและโภชนาการเหมาะสม  เด็กจึงจะพัฒนาศักยภาพสมองของเขาได้อย่างเต็มความสามารถ
            สมองของเด็กเรียนรู้มากกว่าสมองของผู้ใหญ่เป็นพันๆเท่า เด็กเรียนรู้ทุกอย่างที่เข้ามาปะทะ  สิ่งที่เข้ามาปะทะล้วนเป็นข้อมูลเข้าไปกระตุ้นสมองเด็กทำให้เซลล์ต่างๆเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อต่างๆอย่างมากมายซึ่งจะทำให้เด็กเข้าใจและเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น  สมองจะทำหน้าที่นี้ไปจนถึงอายุ 10 ปีจากนั้นสมองจะเริ่มขจัดข้อมูลที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันทิ้งไปเพื่อให้ส่วนที่เหลือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
            การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐาน (Brain-based Learning) เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญ 3 ประการ คือ 1.)การทำงานของสมอง  2.)การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก 3.)กระบวนการจัดการเรียนรู้โดยเปิดกว้าง ให้เด็กเรียนรู้ได้ทุกเรื่อง เนื่องจากสมองเรียนรู้ตลอดเวลา  ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยการปฏิบัติหรือลงมือกระทำด้วยตนเอง  ผู้เรียนได้เรียนรู้แบบร่วมมือและผู้เรียนได้เรียนรู้แบบบูรณาการ การเรียนรู้ที่ถือสมองเป็นพื้นฐานส่งเสริมให้เด็กไทยได้พัฒนาศักยภาพสมองของเขาอย่างเต็มความสามารถ

            การทำงานของสมอง
            สมองเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่  เมื่อคลอดออกมาจะมีเซลล์สมองเกือบทั้งหมดแล้วเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่  สมองยังคงเติบโตไปได้อีกมากในช่วงแรกเกิดถึง 3 ปี เด็กวัยนี้จะมีขนาดสมองประมาณ 80 ของผู้ใหญ่  หลังจากวัยนี้ไปแล้วจะไม่มีการเพิ่มเซลล์สมองอีกแต่จะเป็นการพัฒนาของโครงข่ายเส้นใยประสาท  ในวัย 10 ปีเป็นต้นไปสมองจะเริ่มเข้าสู่วัยถดถอยอย่างช้าๆจะไม่มีการสร้างเซลล์สมองมาทดแทนใหม่อีก  ปฐมวัยจึงเป็นวัยที่มีความสำคัญยิ่งของมนุษย์
            สมองประกอบด้วย เซลล์สมองจำนวนกว่า 1  แสนล้านเซลล์  ลักษณะของเซลล์สมองแต่ละเซลล์จะมีส่วนที่ยื่นออกไปเป็นเส้นใยสมองแตกแขนงออกมามากมายเป็นพัน ๆ เส้นใยและเชื่อมโยงต่อกับเซลล์สมองอื่น ๆ  เส้นใยสมองเหล่านี้เรียกว่า แอกซอน (Axon)และเดนไดรท์ (Dendrite)จุดเชื่อมต่อระหว่างแอกซอนและเดนไดรท์ เรียกว่า ซีนแนปส์ (Synapses)เส้นใยสมองแอกซอนทำหน้าที่ส่งสัญญาณกระแสประสาทไปยังเซลล์สมองที่อยู่ถัดไป  ซึ่งเซลล์สมองบางตัวอาจมีเส้นใยสมองแอกซอนสั้นเพื่อติดต่อกับเซลล์สมองตัวถัดไปที่อยู่ชิดกัน  แต่บางตัวก็มีเส้นใยสมองแอกซอนยาวเพื่อเชื่อมต่อกับเซลล์สมองตัวถัดไปที่อยู่ห่างออกไป  ส่วนเส้นใยสมองเดนไดรท์เป็นเส้นใยสมองที่ยื่นออกไป อีกทางหนึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณกระแสประสาทจากเซลล์สมองข้างเคียงเป็นส่วนที่เชื่อมติดต่อกับเซลล์สมองตัวอื่น ๆ เซลล์สมองและเส้นใยสมองเหล่านี้จะมีจุดเชื่อมต่อหรือซีนแนปส์(Synapses)เชื่อมโยงติดต่อถึงกันเปรียบเสมือนกับการเชื่อมโยงติดต่อกันของสายโทรศัพท์ตามเมืองต่าง ๆ นั้นเอง
            จากการทำงานของเซลล์สมองในส่วนต่าง ๆ  ทำให้มนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ สามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลรอบตัวและสร้างความรู้ขึ้นมาได้นั้นคือ  เกิดการคิด  กระบวนการคิด  และความคิดขึ้นในสมอง  หลังเกิดความคิดก็มีการคิดค้นและมีผลผลิตเกิดขึ้น  ยิ่งถ้าเด็กมีการใช้สมองเพื่อการเรียนรู้และการคิดมากเท่าไร  ก็จะทำให้เซลล์สมองสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองใหม่ ๆ แตกแขนงเชื่อมติดต่อกันมากยิ่งขึ้น  ทำให้สมองมีขนาดใหญ่ขึ้นโดยไปเพิ่มขนาดของเซลล์สมองจำนวนเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์สมอง  สมองของเด็กพัฒนาจากการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กพบว่า  ทักษะความคล่องตัวของกล้ามเนื้อมัดเล็กจะพัฒนาภายในช่วงเวลา  10 ปีแรก  ดังนั้นถ้าหากเด็กได้ฝึกฝนการใช้มือ  การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของมือจะทำให้สมองสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองและจุดเชื่อมต่อและสร้างไขมันล้อมรอบเส้นในสมอง  และเซลล์สมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กได้มาก  ทำให้เกิดทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก
            สมองมีหลายส่วนทำหน้าที่แตกต่างกันแต่ทำงานประสานกัน  เช่นสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ  และรับรู้การเคลื่อนไหว สี รูปร่างเป็นต้น  หลายส่วนทำหน้าที่ประสานกันเพื่อรับรู้เหตุการณ์หนึ่ง  เช่น  การมองเห็นลูกเทนนิสลอยเข้ามา  สมองส่วนที่รับรู้การเคลื่อนไหว สี  และรูปร่าง  สมองจะอยู่ในตำแหน่งแยกห่างจากกันในสมองแต่สมองทำงานร่วมกันเพื่อให้เรามองเห็นภาพได้  จากนั้นสมองหลายส่วนทำหน้าที่ประสานเชื่อมโยงให้เราเรียนรู้และคิดว่าคืออะไร  เป็นอย่างไร  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น สมองสามารถเรียนรู้กับสถานการณ์หลาย ๆ แบบพร้อม ๆ กันโดยการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เช่น สมองสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับความรู้ทางประวัติศาสตร์และคณิตศาสตร์เชื่อมโยงกันได้  การทำเช่นนี้ได้เป็นเพราะระบบการทำงานของสมองที่ซับซ้อน  มีหลายชั้นหลายระดับ  และทำงานเชื่อมโยงกันเนื่องจากมีเครือข่ายในสมองเชื่อมโยงเซลล์สมองถึงกันหมด  เครือข่ายเส้นใยสมองเหล่านี้เมื่อถูกสร้างขึ้นแล้ว  ดูเหมือนว่าจะอยู่ไปอีกนานไม่มีสิ้นสุด  ช่วยให้สมองสามารถรับรู้และเรียนรู้ได้ทั้งในส่วนย่อยและส่วนรวม  สามารถคิดค้นหาความหมาย  คิดหาคำตอบให้กับคำถามต่าง ๆ ของการเรียนรู้และพัฒนาความคิดใหม่ ๆ ออกมาได้อีกด้วย
            นอกจากนี้จากการศึกษาพบว่า  ความเครียดขัดขวางการคิดและการเรียนรู้  เด็กที่เกิดความเครียดจะมีประสบการณ์ที่ไม่ดีเช่นเด็กที่ได้รับประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจทำให้เกิดความหวาดกลัว  เครียด  บรรยากาศการเรียนรู้ไม่มีความสุข  คับข้องใจ  ครูอารมณ์เสีย  ครูอารมณ์ไม่สม่ำเสมอเดี๋ยวดี  เดี๋ยวร้าย  ครูดุ  ขณะที่เด็กเกิดความเครียด  สารเคมีทั้งร่างกายปล่อยออกมาจะไปเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสมอง  ทำให้เกิดการสร้างฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความเครียด  เรียกว่า  คอร์ติโซล (Cortisol)  จะทำลายสมองโดยเฉพาะสมองส่วนคอร์เท็กซ์หรือพื้นผิวสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิด  ความฉลาด  กับสมองส่วนฮิปโปแคมปัสหรือสมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์และความจำ  ซึ่งความเครียดทำให้สมองส่วนนี้เล็กลง  เด็กที่ได้รับความเครียดอยู่ตลอดเวลา  หรือพบความเครียดที่ไม่สามารถจะคาดเดาได้  ส่งผลต่อการขาดความสามารถในการเรียนรู้  ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย  เพราะเด็กมีสมองพร้อมที่จะเรียนได้  แต่ถูกทำลายเพราะความเครียดทำให้ความสามารถในการเรียนรู้ได้หายไปตลอดชีวิต

การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก
            การจัดหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาศักยภาพทางสมองจำเป็นต้องคำนึงถึงกระบวนการทำงานของสมองและการทำงานให้ประสานสัมพันธ์ของสมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา  สมองซีกซ้ายควบคุมความมีเหตุผลเป็นการเรียนด้านภาษา จำนวนตัวเลข วิทยาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ การคิดวิเคราะห์  ในขณะที่สมองซีกขวาเป็นด้านศิลปะ  จินตนาการ  ดนตรี ระยะ/มิติ หากครูสามารถจัดหลักสูตรการเรียนการสอนให้เด็กได้ใช้ความคิดโดยผสมผสานความสามารถของการใช้สมองทั้งสองซีกเข้าด้วยกันให้สมองทั้งสองซีกเสริมส่งซึ่งกันและกัน  ผู้เรียนจะสามารถสร้างผลงานได้ดีเยี่ยม เป็นผลงานมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และสามารถแสดงความมีเหตุผลผสมผสานในผลงานชิ้นเดียวกัน
            หลักสูตรการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัยควรคำนึงถึงการเรียนรู้ในด้านต่างๆดังนี้  
            1. การเคลื่อนไหวของร่างกาย  ฝึกการยืน เดิน วิ่ง จับ ขว้าง กระโดด การเคลื่อนไหวไปในทิศทางต่างๆที่เราต้องการ  หรือพวกนักกีฬาต่างๆ
            2. ภาษาและการสื่อสาร เป็นการใช้ภาษาสื่อสารโดยการปฏิบัติจริง จากการพูด การฟัง  การอ่านและการเขียน  เช่น ให้เด็กเล่าสิ่งที่เขาได้พบเห็น ได้ลงมือกระทำ  ฟังเรื่องราวต่างๆที่เด็กต้องการเล่าให้ฟังด้วยความตั้งใจ  เล่านิทานให้ลูกฟังทุกวัน  เล่าจบตั้งคำถามหรือสนทนากับลูกเกี่ยวกับเรื่องราวในนิทาน  อ่านคำจากป้ายประกาศต่างๆที่พบเห็น  ให้เด็กได้วาดภาพสิ่งที่เขาได้พบเห็นหรือเขียนคำต่างๆที่เขาได้พบเห็น   
            3. การรู้จักการหาเหตุผล ฝึกให้เด็กเป็นคนช่างสังเกต การเปรียบเทียบ จำแนกแยกแยะสิ่งต่างๆ  จัดหมวดหมู่สิ่งของที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน  เรียนรู้ขนาด ปริมาณ  การเพิ่มขึ้นลดลง  การใช้ตัวเลข 
            4. มิติสัมพันธ์และจินตนาการจากการมองเห็น ให้เด็กได้สัมผัสวัตถุต่างๆที่เป็นของจริง  เรียนรู้สิ่งต่างๆจากประสบการณ์ตรง  เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง ระยะ  ขนาดตำแหน่ง  และการมองเห็น สังเกตรายละเอียดของสิ่งต่างรอบตัว  เข้าใจสิ่งที่มองเห็นได้สัมผัส  สามารถนำสิ่งที่เข้าใจออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
            5. ดนตรีและจังหวะ  ให้เด็กได้ฟังดนตรี แยกแยะเสียงต่างๆ  ร้องเพลง เล่นเครื่องดนตรี  ฝึกให้เด็กรู้จักจังหวะดนตรี
            6. การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น  ฝึกให้เด็กอยู่ร่วมกับผู้อื่นในด้านการช่วยเหลือ เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน เข้าใจผู้อื่น  เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น  ปฏิสัมพันธ์ในสังคมของมนุษย์เป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และสติปัญญา
            7. การรู้จักตนเอง รับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตนเอง เข้าใจตนเอง จะทำให้ดูแลกำกับพฤติกรรมตนเองได้อย่างเหมาะสม 
            8. การปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  การอยู่ร่วมกับธรรมชาติ

               กระบวนการจัดการเรียนรู้
            เด็กปฐมวัยเรียนรู้ผ่านการเล่น  เรียนรู้อย่างมีความสุข  จัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับระดับพัฒนาการ  ลักษณะกระบวนการจัดการเรียนรู้เป็นแบบเปิดกว้าง จัดให้มีประสบการณ์ที่หลากหลายโดยให้เด็กได้เรียนรู้ตามความสนใจหรือให้เด็กได้แสดงออกในแนวทางที่เขาสนใจ  เรียนรู้แบบปฏิบัติจริงโดยการใช้ประสาทสัมผัสกระทำกับวัตถุด้วยความอยากรู้อยากเห็น ได้ทดลองสร้างสิ่งใหม่ๆ  เด็กเรียนรู้ได้เต็มศักยภาพเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น  เด็กได้การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นกลุ่มเล็กๆ  และเป็นรายบุคคล  การให้เด็กได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่นทำให้เด็กได้ตรวจสอบความคิดของตน  แต่เมื่อมีปัญหาเด็กต้องการคำแนะนำจากผู้ใหญ่  ควรให้เด็กได้เรียนรู้แบบบูรณาการซึ่งเป็นการเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเป็นตัวตั้ง  มีการเชื่อมโยงหลากหลายสาขาวิชา  บทบาทของครูเป็นผู้ให้คำแนะนำเมื่อเด็กต้องการและให้การสนับสนุนอย่างเหมาะสม

ผู้ปกครองมีบทบาทอย่างไรในการช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก
1.      ให้เด็กได้เรียนรู้สิ่งต่างๆด้วยการลงมือกระทำโดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 
     ในการทำกิจกรรม 1 กิจกรรมพยายามให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัสหลายอย่างร่วมกัน
               การเรียนจากการปฏิบัติจะทำให้เด็กเกิดความเข้าใจ
                    
                        ฉันฟัง  ฉันลืม
                        ฉันเห็น  ฉันจำได้
                        ฉันได้ทำ  ฉันเข้าใจ

            2.  ให้เด็กได้พูดในสิ่งที่เขาคิด และได้ลงมือกระทำ  ถ้าไม่ได้พูดสมองไม่พัฒนา  ต้องฝึกให้ใช้สมองมากๆอย่างมีความสุข  ไม่ให้เครียด
          3.  ผู้ใหญ่ต้องรับฟังในสิ่งที่เขาพูดด้วยความตั้งใจ  และพยายามเข้าใจเขา


สารอาหารบำรุงสมอง
           อาหาร หมู่มีส่วนบำรุงสมองทั้งสิ้น โดยเฉพาะทารกในครรภ์  อาหารจะเข้าไปช่วยสร้างเซลล์สมอง  เมื่อคลอดออกมาแม่ต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่เช่นเดิม  เมื่อลูกโตขึ้นปริมาณของน้ำนมของแม่ไม่เพียงพอต่อความต้องการจึงต้องให้อาหารเสริม  ถ้าขาดสารอาหารเซลล์สมองจะเติบโตช้าและมีจำนวนน้อยลง  เส้นใยประสาทมีการสร้างไม่ต่อเนื่อง
           ตับและไข่  เด็กปฐมวัยต้องการธาตุเหล็กจากตับหรือไข่ ถ้าเด็กไม่กินตับหรือไข่  และหรือกินในปริมาณที่ไม่เพียงพอจะทำให้ความจำและสมาธิด้อยลง
           ปลา  สารจากเนื้อปลาและน้ำมันปลามีส่วยสำคัญต่อการพัฒนาความจำและการเรียนรู้เสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาทที่เรียกว่า เดนไดร์  ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงสัมพันธ์เรื่องราวที่เรียนรู้จากเรื่องหนึ่งไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง อธิบายได้ว่าทำให้เด็กเข้าเรื่องที่เรียนรู้ได้ง่ายและเร็ว
ควรให้เด็กรับประทานเนื้อปลาทุกวันหรือ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยเฉพาะเนื้อปลาทะเลเช่น ปลาทู  ปลากระพง และปลาตาเดียว เป็นต้น
           ผักและผลไม้  ผักที่มีสีเขียว  เหลืองหรือแดง  อาหารเหล่านี้ให้วิตามินซี เพื่อนำไปสร้างเซลล์เยื่อบุต่างๆทั่วทั้งร่างกายและวิตามินเอทำให้เซลล์ประสาทตาทำงานได้เต็มที่ ซึ่งส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมในการพัฒนาสมอง
           วิตามินและเกลือแร่ ช่วยในการทำงานของเชลล์ในการเปลี่ยนน้ำตาลกลูโคสให้เป็นพลังงาน ถ้าขาดจะทำให้เชลล์สมองมีการทำงานลดลงและเชื่องช้าจะกระทบต่อการเรียนรู้ของเด็ก
           ปลา ไก่ หมู นมและอาหารทะเล อาหารเหล่านี้มีแร่ธาตุต่างๆเช่น เหล็ก ทองแดง แมกนีเซี่ยม  สังกะสี  ฟอสฟอรัสและไอโอดีน  มีผลต่อการทำงานของเซลล์สมอง
           ผักตระกูลกะหล่ำ(ทำให้สุก) ข้าวสาลี และน้ำนมแม่ สามารถไปยับยั้งการเกิดอนุมูลอิสระที่อาจจะทำลายเซลล์สมองได้
           การพัฒนาศักยภาพทางสมองของเด็ก ขึ้นกับ อาหาร  พันธุกรรม  สิ่งแวดล้อมต่างๆ และสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การมีโอกาสได้ใช้ความคิดอยู่เสมอ  ให้เด็กมีโอกาสคิดในหลากหลายแบบเช่น คิดแสวงหาความรู้  คิดริเริ่มสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์  คิดอย่างมีวิจารณญาณ  คิดกว้าง คิดไกล  คิดเชิงอนาคต  คิดนอกกรอบ  ผู้ปกครองหรือครูควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ฝึกการคิดอย่างเหมาะสมกับวัย และมีความสุขในขณะที่ฝึก  สมองจึงจะพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ  

               เด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจเหตุผล
               ลูกไม่รู้ว่าแม่เหนื่อย   ลูกไม่เข้าใจ  ลูกก็ซน ช่างซักช่างถาม อย่ารำคาญ อย่าโกรธลูกเลย 
               รักลูกก็ให้กอดลูกแล้วบอกว่าแม่รักพ่อรัก  แสดงความรักออกมาอย่างจริงใจ  แสดงความใส่ใจต่อลูก  นี้คือยาวิเศษที่ลูกต้องการ
            คนที่แก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือคนอารมณ์ดี
หนังสืออ้างอิง
คณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ,  สำนักงาน,  สำนักนายกรัฐมนตรี.(2543).  สิ่งแวดล้อมและการ
               เรียนรู้สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร(ฉบับพ่อแม่)  กรุงเทพฯ องค์การค้าคุรุสภา.
เติมพลังสร้างสมองอัจฉริยะ.(2549,เมษายน). นิตยสารใกล้หมอ. 30(4):26 -32.
ทักษิณ  ชินวัตรและคนอื่นๆ. (2548). เด็กไทยใครว่าโง่ :เปลี่ยนการเรียนรู้ของเด็กไทยให้ทันโลก.
            กรุงเทพฯ สถาบันวิทยาการการเรียนรู้.          
วิทยากร  เชียงกูล.(2548).เรียนลึกรู้ไว: ใช้สมองอย่างมีประสิทธิภาพ.  กรุงเทพฯสถาบัน
            วิทยาการการเรียนรู้.
ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์;และอุษา ชูชาติ.(2545).ฝึกสมองให้คิดอย่างมีวิจารณญาณ. พิมพ์ครั้งที่ 2
            กรุงเทพฯ วัฒนาพานิช.
อัญชลี  ไสยวรรณ.(2548) .การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนทักษะการคิดแสวงหาความรู้
               สำหรับเด็กปฐมวัย  ปริญญานิพนธ์  การศึกษาดุษฎีบัณฑิต(การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ
            : บัณฑิตวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.ถ่ายเอกสาร.