วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

คุยกับคุณ oneguy เรื่อง เด็กสมาธิสั้นพันธุ์แท้แต่เรียนรู้ได้แบบอัจฉริยะ

เป็นการตั้งข้อสังเกตของผม จากประสบการณ์บวกความรู้ด้านวิชาการ
ผสมผสานกับจินตนาการ เกี่ยวกับเด็กสมาธิสั้น หรือที่รู้จักกันว่า" ไฮเปอร์ "
หาก เราเข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของเขาอาจเป็นกุญแจสำคัญของการจัดการเรียนการ สอนที่เหมาะสมกับศักยภาพของเด็กส่วนใหญ่ให้เรียนรู้อย่างมีความสุขและความ ภูมิใจได้เพราะเด็กสมาธิสั้น คือเด็กที่มีสมาธิอย่างมากในสิ่งที่เขาชอบและสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือภาพ หรือวัตถุที่เคลื่อนไหว มีสีสรร เสียงสูงๆต่ำๆ
จังหวะทำนองของดนตรี  สิ่งเร้าต่างๆในธรรมชาติรอบตัว
เขาชอบสำรวจ สังเกต ทดลองทำซ้ำ เก่งด้านดนตรีและกีฬา  เรียนรู้อย่างเชื่อมโยง  เข้าใจสิ่งใหม่ๆได้ดี จากการสังเกต  สังเคราะห์  และมองเห็นภาพรวม ร่วมกับ
การเคลื่อนไหว และการฝึกปฏิบัติ
ด้วยพลังของสมองที่ไม่หยุดนิ่ง ชีวิตของพวกเขาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่จึงเคลื่อนไหว ทั้งร่างกายและจิตใจด้วยศักยภาพแห่งความคิดสร้างสรรค์ที่นอกกรอบ และชอบสัญจรไปทั่ว  คือวิถีการเรียนรู้  ในลักษณะเดียวกับอัจฉริยะบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
ได้ด้วยตนเองในสาขาวิชาที่เขาชอบและสนใจ
แต่เราอาจไม่พบประวัติการเรียนดีของเขาเช่นเดียวกับที่เราไม่พบประวัติการเรียนดี ในวัยซนของบุคคลอัจฉริยะจำนวนมากในหลากหลายสาขาด้วยการศึกษาในรูปแบบเก่า จนถึงปัจจุบันที่เน้น การสอนเพื่อสอบให้ได้คะแนนดีทุกวิชา ด้วยการนั่งฟังครูสอนในห้องเรียน
เน้นอ่าน  เขียน ท่องจำ ทำการบ้านที่มากเกินไป  ทำให้เบื่อหน่ายและมองไม่เห็นคุณค่าสาระประโยชน์ในสิ่งที่เรียนเด็กที่ซน และ เหม่อ พูดไม่หยุด เราจะเห็นว่า
เขามีความฉลาดในการสังเกต ไหวพริบโต้ตอบเอาตัวรอดเก่งมาก ครูจึงบอกว่าเขาเป็นเด็กหัวดี แต่ขี้ลืม ขี้เบื่อ ไม่ตั้งใจไม่ใส่ใจ ชอบคุย เล่นดินสอ เหลากบใต้โต๊ะ
และชอบเหม่อ ในห้องเรียน  จดงานไม่ทัน ซุกการบ้าน
ก็เพราะเด็กสมาธิสั้นไม่มีสมาธิพอในสิ่งที่เขาไม่สนใจและไม่รู้ว่าจะไปเชื่อมโยงกับอะไร
(
เหมือนกับผู้ใหญ่ในโลกของไอที ที่มากไปด้วยข้อมูลจึงจับแต่ประเด็นที่อยู่ในความสนใจ และมีประสบการณ์ตรงเท่านั้น และไม่ชอบอ่านยาวๆ)
เขาเรียนรู้จาการสัมผัส ปฏิบัติ ทดลอง ด้วยประสบการณ์จริงก่อน แล้วจึงคิดต่อยอดด้วยจินตนาการ เพราะทำให้เขารู้สึกไม่จำเจ ไม่เบื่อ
จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
ของเด็กสมาธิสั้นจึงไม่มีขีดจำกัด
การเรียนรู้ของเขาจึงแตกต่าง ( Learning Difference)และเป็นการเรียนแบบ ( Learning by Doing) ในสิ่งที่เขาถนัดและสนใจก่อน
หากแต่วงการศึกษา และทางการแพทย์ ให้คำจำกัดความถึงความไม่ถนัดในการอ่านเขียนว่าเป็น Learning Disability หรือ L.D. (แอลดี) ซึ่งพบได้ราว หนึ่งในสี่ของเด็กสมาธิสั้น(ทั้งแบบซนและเหม่อ)

ทำให้ครูผู้ปกครองเข้าใจผิดว่าเขาคงจะเรียนรู้อะไรไม่ได้ เพราะไม่สนใจไม่ชอบ และมีปัญหาการเรียนด้านภาษา(สมองของเด็กสมาธิสั้น หรือไฮเปอร์ เปรียบเสมือนเรดาร์ คอยดักจับแต่เรื่องที่สำคัญ ที่เขาสนใจ   ทำงานได้พร้อมกันหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน  (multitasking)
หูของเขาเหมือนโซน่า ที่ไวต่อความถี่ของเสียงทุกประเภทในเวลาเดียวกัน   โดยเฉพาะเสียงดุ ว่า บ่น ด่า นินทาจะหูผึ่งรวมถึงเสียงสูงๆต่ำๆ ที่ให้อารมณ์ทั้งหลาย จะช่วยให้เขาขยับตัว  ละความสนใจ ออกจากภวังค์แห่งสมาธิที่หลอมรวมเขาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว   กับสิ่งที่เขากำลังสนใจ หรือเหม่อและกำลังฝันกลางวัน (มีจินตนาการ) ในขณะนั้น
ครูและผู้ใหญ่จึงทึ่ง และแปลกใจที่ ดูเหมือนเขาไม่ได้ตั้งใจฟังเวลาครูสอน หรือเวลาผู้ใหญ่คุยกันแต่ถามอะไรกลับตอบได้หมด  แต่เวลาจด กลับไม่ทัน ต้องคอยมองเพื่อน สะกดคำ,อ่านและเขียน) 
จากคุณ : one guy - [ 11 ก.พ. 50 01:08:00 ]
เป็นความรู้อย่างมากเลยค่ะ..ขอบคุณมากๆ...คุณพอจะทราบเรื่องเด็กชอบเดินด้วยปลายเท้าบ้างไหม๊ค่ะ?
จากคุณ : Gators - [ 11 ก.พ. 50 04:48:23 ]
คุณ Gators ครับ
เด็กที่เดิน หรือวิ่งเขย่งเท้า อย่างคล่องแคล่ว ตอน ขวบครึ่ง
ถึง สองขวบขึ้น   ให้สังเกตดูว่า เขามองหน้าสบตาเราดีหรือไม่ รู้จักสื่อภาษาด้วยสายตาหรือเปล่า
รับรู้อารมณ์ของผู้ใหญ่หรือไม่   เล่นเลียนแบบเป็นไหม
รู้จักกลัวคนแปลกหน้า และกลัวว่าแม่หรือคนเลี้ยงจะหายไป คอยหันมองหาหรือไม่
ถ้าไม่ค่อยจะสบตา ไม่ค่อยจะคอยมองหน้าใคร สนใจแต่
วัตถุ สิ่งของ และไม่ค่อยมอง หรือเล่นตอบสนองกับตัวเองหน้ากระจก  รวมถึงไม่ค่อยชี้นิ้ว เพื่อให้คนอื่นมองของที่ตัวเองสนใจ  
ให้นึกถึงเรื่องของออทิสติกเผื่อไว้ด้วยครับ
เด็กสมาธิสั้นพันธุ์แท้จะรับรู้สถานการณ์ในสิ่งแวดล้อมดีมาก
ตอบสนองทุกอารมณ์ของผู้ใหญ่ ได้เก่งตั้งแต่หนื่งขวบปีแล้วครับ 
ตาของเด็กสมาธิสั้น คือตา สับปะรด คือมองเห็นไปหมด
หากเปรียบกับเลนส์ ก็เหมือนเลนส์ดีที่ปรับซูมได้แบบตัวเดียวเที่ยวทั่วไทย ทั้ง MacroและWide แถมคุณลักษณะของ Intelligent eye ที่สอดส่าย และวอกแวกมองหาสิ่งที่น่าสนใจในขณะนั้นได้รอบทิศ
ความเก่งในเรื่อง การจับอารมณ์บนใบหน้า เป็น Multiface detection แถมด้วย Multi  Emotional  Sensitive  Censor  ขนาดใหญ่  จึงขี้น้อยใจมาก สะเทือนใจ ร้องไห้ง่าย
โดยเฉพาะเวลาโดนบ่น โดนว่า
เป็นผลพวงจากการเลี้ยงดูที่มีมาแต่วัยเด็ก เพราะความซน ไม่นิ่ง วิ่งไปทั่ว
ซุ่มซ่าม ไม่ทันระวัง ไม่ทันฟัง เหม่อ และดื้อ
จากคุณ : one guy  [ 11 ก.พ. 50 08:16:31 ]
ขนาดนั้นหรือครับ ... หลานสาวผมเค้าไม่เห็นเป็นอย่างที่ว่า
เค้าเรียนไม่ทันเพื่อนเพราะเค้ามีสมาธิสั้น ... แก้ไขอะไรไม่ได้เลย

จากคุณ : 30:36 ]
ลูกสาว(ป. 4 )เล่าให้ฟังว่า มีเพื่อนเค้าคนนึง เป็นเด็กออทิสติก แต่เรียนร่วมกับเด็กธรรมดาได้ โดยมี่คุณแม่ของเค้ามานั่งเฝ้าตลอดเวลา
เพื่อนลูกคนนี้ สามารถพูดคุยสื่อสารกับคนอื่นได้รู้เรื่อง เป็นที่รักของเพื่อนๆ(อันนี้คิดว่าคงเป็นเพราะคุณแม่เค้าเป็นคนน่ารักด้วยมั้งคะ)  แต่ก็มีบางครั้งที่แกจะพูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมาหลายๆครั้ง จนเพื่อนๆขำ แต่ลูกสาวบอกว่า เพื่อนคนนี้ เก่งวิชาคณิตศาสตร์มากๆ
เคยได้ยินชื่อแม่ก้อยหรือเปล่าคะ แม่ก้อยคนนี้เธอเป็นยอดคุณแม่ที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษชื่อน้องนนท์
แม่ก้อยเขียนบทความเกี่ยวกับน้องนนท์ ซึ่งเป็นออทิสติกไว้เยอะมาก อ่านแล้วน้ำตาไหลทุกครั้งเลยค่ะ
จากคุณ : พจ 11 ก.พ. 50 08:49:05
เคยมีนักเรียน(มหาลัยนะคะ) เป็นattention deficit disorder ไม่รู้ว่าอันเดียวกับhyperactiveหรือเปล่า
เริ่มเข้าเรียนครั้งแรก เธอมาพร้อมกับจดหมายจากadminของมหาลัยว่าให้อำนวยความสะดวกนักเรียนท่านนี้ให้มากที่สุด เธอต้องการการสอนที่พิเศษหน่อย เธอจะเข้ามาสอนเราว่าให้สอนเธออย่างไร เช่นใช้ตัวอย่างที่มีรูปภาพชัดเจน อย่าใช้สไลด์ที่ตัวอักษรมาก แล้วเวลาสอบ เธอจะได้นั่งในห้องพิเศษ คือไม่มีอะไรมารบกวนสมาธิเธอได้ แล้วเธอจะไม่กาคำตอบลงในกระดาษคำตอบเพราะเธอสมาธิสั้น เธอจะวอกแวกเมื่อเห็นตัวช๊อยส์abcdeกันเป็นพืด เธอจะขอกาบนสมุดคำถาม และก็ต้องให้เวลาเธอทำข้อสอบนานกว่าชาวบ้านเท่านึง วันนั้นรอเธอทำสอบเสร็จเกือบสี่ทุ่ม คนอื่นเค้าเสร็จตั้งแต่สองทุ่มกว่า
แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ค่อยได้เข้าเรียน...เพราะในห้องดันมีนักเรียนหูหนวกสนิท ต้องการinterpreterภาษามือมานั่งหน้าห้องส่งภาษามือให้ตลอดเวลา เธอบ่นว่าเซ็ง ไม่นึกว่าจะมีเด็กพิเศษพร้อมกันในห้องเดียวกัน แถมเธอเรียนไม่ได้เลย มัวแต่มองภาษามือ ช่างบังเอิญจริงๆ
ขอบคุณนะคะที่เอาความรู้มาแบ่งปัน
จากคุณ : kanu_memphis
คุณ plang_ks และคุณพจมาร ครับ
เด็กสมาธิสั้นนั้น
คนส่วนใหญ่ยังสับสนปนกันกับเด็กออทิสติก
และเด็กปัญญาอ่อน หรือปัญญาทึบ
เด็กออทิสติก มี 10 % ที่เรียก แอสเปอร์เกอร์ หรืออัจฉริยะของออทิสติก
จำข้อมูลละเอียดยิบได้แบบเหลือเชื่อ เช่นปฏิทิน 100 ปี
หรือมีความเก่งพิเศษ บางด้าน เช่น ตัวเลข การวาดภาพแบบ Xerox  เก็บรายละเอียดได้หมด
อาจยังมีปัญหาการพูด   สื่อสาร และจะยังมีลักษณะ ไม่เข้าใจสถานการณ์ของสังคม
ไม่เข้าใจอารมณ์ หรือมุขตลก  ภาษาพูดจะตรงๆ ซื่อๆ
ออกจะไร้อารมณ์  หรือยึดถือตรงตามความหมายของคำพูด
และตัวอักษรข้อความ  โดยไม่ยืดหยุ่น แต่โกหก หลอกใครไม่เป็น และขาดจินตนาการของสมองซีกขวา
ตรงข้ามกับเด็กสมาธิสั้น ที่มีทักษะทางสังคม เก่งมาก
รู้จักพลิกแพลง มองข้ามช็อต หรือมีเล่ห์เหลี่ยม
เอาตัวรอดแบบศรีธนนชัย  ตอบโต้ ให้เหตุผลหรือกล่อม
เอาชนะผู้ใหญ่ได้  ตั้งแต่ 3-4 ขวบแล้วครับ
ส่วนเด็กปัญญาอ่อนจะตามไม่ทัน ในทุกเรื่อง ของการเรียนรู้
และพัฒนาการของกล้ามเนื้อช้า แต่มีลักษณะ ซน ไม่นิ่งได้
แต่เป็นแบบสมองไม่ค่อยรับรู้
สมาธิสั้นพันธุ์แท้ คือ Attention Deficit Hyperactivity Disorder   หรือ ADHD   นั้นฟันธงว่าเป็นเด็กหัวดี และฉลาด พูดจาเก่ง  และสังคมจัด (ถ้าไม่กลายพันธุ์ไปก่อนจากการเลี้ยงดู ที่ไม่เข้าใจธรรมชาติของเขา คือ ซน เหม่อ ดื้อ )

50%
ของเด็กสมาธิสั้น ไม่มีปัญหาการเรียน และ
ยังเรียนเก่งระดับ 80 % ขึ้นไป ได้เกียรตินิยมอันดับ 1 ,2ได้
อีก 50 % มีปัญหาการเรียนปานกลาง จากการขาดสมาธิ
และหรือความสับสน ตกหล่นในตัวอักษร จะเรียนๆเล่นๆ
เรื่อยๆ เหมือนไม่เอาใจใส่นัก  เก่งกิจกรรมสารพัด แต่ไม่ตก
แล้วเริ่มขยันเป็น  ม้าตีนปลายช่วงก่อนเข้ามหาวิทยาลัย  สอบเข้าแพทย์  วิศวะคอม เศรฐศาสตร์ หรือคณะที่มีคะแนนสูงๆ ที่ชอบและสนใจได้
และอีก 25% มีปัญหา LD ที่สำคัญมาก คือ
DSYSLEXIA
คือเด็กสะกด คำไม่ได้เลย  แม้จะจบ ป. 6 แล้ว แต่พบว่าเขามีพรสวรรค์อย่างมาก ในด้านอื่นอีกหลายด้าน
ให้เห็นตั้งแต่ประถมต้น ทั้งดนตรี  กีฬา  ศิลปะ การปั้น วาดรูป  งานออกแบบ งานประดิษฐ์  รื้อ แกะ ซ่อม การเต้น การแสดง  การพูด และคอมพิวเตอร์
ขึ้นอยู่กับว่าผู้ใหญ่จะมองเห็น และพัฒนาศักยภาพ
อีกหลายด้าน ให้เขาภูมิใจ ได้หรือไม่ หากเขายังคงสะกดคำ เขียน อ่านหนังสือไม่ได้  เพราะสมองซีกซ้ายไม่ถนัด  แต่เก่งทุกอย่างของสมองซีกขวา
จากคุณ : one guy - [ 11 ก.พ. 50 12:54:17 ]
คุณ Kanu ครับ
เมื่อแรกๆ  เขาตั้งชื่อ เด็กสมาธิสั้นว่า ATTENTION
DEFICIT DISORDER
หรือ ADD คือ ขาดสมาธิ เป็นลักษณะเด่น
แต่ต่อมาพบว่าเด็กมีลักษณะซนมาก เหมือนติดมอเตอร์ ตั้งแต่เล็ก จึงเรียกใหม่ว่า   ATTENTION DEFICIT HYPERACTIVITY DISORDER หรือ ADHD
พบว่าสมาธิสั้นในเด็กผู้หญิง มักเป็นแบบขาดสมาธิ(ADD) เหม่อ ฝันกลางวัน แบบ Day Dreamerไม่ค่อย ยุกยิก หรือ ซนให้เห็น
ส่วนเด็กผู้ชาย พบว่าเป็นสมาธิสั้นในสัดส่วนที่มากกว่า
และโดยมากเป็นแบบ ซนและเหม่อ(ADHD)
จากคุณ : one guy - [ 11 ก.พ. 50 14:02:43 ]
อืม เพิ่งเข้าใจความแตกต่างก็วันนี้แหละค่ะ คุณone guy ทำงานเกี่ยวกับเด็กหรือเปล่าคะ เพราะในห้องนี้มีลูกที่พูดช้ากันบ้าง อยากทราบว่า เด็กพูดช้าที่มีความผิดปกติกับไม่ผิดปกติทางสมองจะมีข้อแตกต่างให้เป็นจุดสังเกตุอย่างไรบ้างคะ ขอบคุณค่ะที่ตอบมาซะไว ทันใจแม่ๆใจร้อนอย่างเรา
จากคุณ : kanu_memphis
ลูกเป็นอยู่ค่ะ  ไปปรึกษากับคุณหมอที่รามามาฝ่ายจิตเวชเด็ก  เนื่องจากเลี้ยงเค้าแล้วเครียด  เพราะไม่รู้  ไม่เข้าใจเค้า  พอรู้และเข้าใจอาการเค้าอย่างลึกซึ้ง  กลับมาเสียใจมากเลยค่ะที่เคยตีเค้า  ดุด่าเค้าตอนที่เราเอาเค้าไม่อยู่  เค้าเปอร์จนป่วนมากๆ
หลังจากคุยกับคุณหมอ  อ่านค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม  ปรับเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงดูเค้าใหม่  พยายามใจเย็นขึ้น   ตอนนี้เค้าดีขึ้นมากเลยค่ะ คุณครูที่โรงเรียนก็ให้ความร่วมมือดีมาก  ตอนนี้คุณครูก็ชมเค้าเกือบทุกวันว่าเค้าดีขึ้นเป็นลำดับ
ขอยืนยันอีกคน  เด็กสมาธิสั้นเนี่ยฉลาดจริงๆค่ะ  และก็มีความสามารถพิเศษกับสิ่งที่เค้าสนใจได้ดีและเรียนรู้ได้เร็ว  เวลาเรียนเค้านั่งโยกเก้าอี้  มุดโต๊ะ  แหย่เพื่อน  ไม่ฟังคุณครูสอนเลย  แต่เวลาถาม  เค้าตอบได้หมดจนครูงง  และเรียนรู้อะไรได้ไวกว่าเพื่อนคนอื่นในชั้นเรียนค่ะ
จากคุณ : YingPla  [ 11 ก.พ. 50 18:40:11 ]
อ่านกระทู้นี้แล้วเหมือนลูกจะเข้าข่ายเด็กสมาธิสั้น แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ เค้าฉลาดนะ เลียนแบบผู้ใหญ่ก็เก่ง ชอบเดินเขย่งเท้าแต่ไม่บ่อย สอนอะไรถ้าชอบก็ทำ ถ้าไม่ชอบก็ไม่เอา แล้วก็เป็นเด็กไม่ชอบอยู่นิ่งๆ ให้นั่งนิ่งๆ 1นาทียังไม่ได้เลย ซนมาก ๆ แต่ใจก็คิดว่าอาจเป็นเพราะเป็นเด็กผู้ชายจึงซนมากเป็นเรื่องปกติ ยังไงก็ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย ขอบคุณคุณ one guy มากๆ เลย แล้วมีวิธีส่งเสริมหรือให้เค้าเรียนในสถานที่แบบไหนดีคะ ช่วยตอบด้วยนะคะ
จากคุณ : gettomom
ใช่ค่ะ ตอนน้องแม็คเข้า ป.1 ใหม่ๆ ครูสงสัยว่าเขาปัญญาอ่อน เรียกแม่น้องแม็คไปพบ แต่เมื่อเอาใบรับรองแพทย์ไปยืนยันว่าน้องแม็คแค่สมาธิสั้น และยังต้องอธิบายอาการสมาธิสั้นให้ครูฟังอีกนาน..ในที่สุดครูก็ยอมรับ และหยวนๆกับน้องแม็ค
เหมือนเขาจะไม่ค่อยตั้งใจเรียน ไม่ค่อยสนใจเพื่อน เขียนหนังสือถูกๆผิดๆ สับสนเรื่องคำและภาพ (แบบฝึกหัดการโยงจับคู่คำกับภาพ) และระบายสีภาพได้เลอะเทอะที่สุด...
แต่เมื่อสอบเทอมนี้ น้องแม็คได้คะแนนวิชาคณิต 19 เต็ม 20 วิชาอื่นๆ 18 17 16 ไม่น้อยกว่านี้เลย เล่นเอาครูอึ้ง เพื่อนก็อึ้ง แต่พวกเราทั้งบ้านเฮกันใหญ่ เจ้าตัวก็ยิ้มเห็นฟันหลอๆ เวลาใครชม แหม...เขาทำท่าเขินได้น่าเตะที่สุดเลย
จากคุณ : วาซีน่า เรน  [ 12 ก.พ. 50 10:56:11 ]
น้องเราก็เป็นนะ ตอนนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว อยากทราบที่เรียนที่เหมาะกับเค้าค่ะ หรือหลักสูตร พัฒนาเกี่ยวกับ ตัวเค้าค่ะ เนื่องจากว่าปีที่แล้ว เค้าซ้ำป.1 และก็ยังไม่แน่ใจว่า ปีนี้จะต้องซ้ำอีกหรือเปล่าค่ะ เวลาถาม คำถามข้อสอบแกตอบได้ค่ะ แต่เวลาทำข้อสอบ แกไม่ยอมเขียนท่าเดียวเลย ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เศร้าๆๆ ตอนนี้ก็ได้แต่ พยายามฝึกแกเขียน-ตอบข้อสอบ ค่ะ ปีนี้ยังต้องลุ้นว่าแกจะทำข้อสอบ หรือเปล่า ลุ้นๆๆๆ รบกวนช่วยบอกที่เรียนหรือหลักสูตรพัฒนาด้วยค่ะ ผู้รู้ทุกท่าน...  ขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าค่ะ
จากคุณ : พี่สาว... (laseng)[ 13 ก.พ. 50 11:06:59 ]
คุณ kanu ครับ
ผมจบป. ตรีทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และมีโอกาสเรียนต่อทางด้านจิตวิทยาเด็ก แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านสมองโดยตรงครับ
นอกจากงานประจำที่ทำอยู่เป็นแบบ Freelance แล้ว ก็มีโอกาสทำงานเป็นที่ปรึกษา  ให้กับองค์กร
มูลนิธิด้านพัฒนาเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยง

ความสนใจด้านการทำงานของสมอง
เป็นความชอบส่วนตัว   ตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษา
สายวิทยาศาสตร์การแพทย์ของ ม.มหิดล
บวกกับความรู้จากคณาจารย์ด้านจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก
ที่สอนในระดับปริญญาเอก  และพบเห็นเด็กกลุ่มเสี่ยงมา
หลายปี  พอที่จะจินตนาการมาเล่าสู่กันฟังได้บ้างครับ
ปัญหาของเด็กพูดช้า ผมคิดว่าควรพบแพทย์เฉพาะทาง
อาจเป็นกุมารแพทย์ด้านพัฒนาการเด็ก , ด้านสมอง หรือจิตแพทย์เด็ก แขนงใดแขนงหนึ่งก่อน น่าจะดีนะครับ
จากคุณ : one guy - [ 14 ก.พ. 50 20:44:30 ]
คุณ gettomon ครับ
ในเด็กสมาธิสั้นและเด็กที่มีปัญหาอ่าน เขียน( Dyslexia )
พลังแห่งการสังเกต มองเห็นความเชื่อมโยงของสิ่งต่างๆ
พลังแห่งความคิดและจินตนาการสร้างสรรค์
รวมถึงพลังแห่งการเคลื่อนไหว และรับรู้ตัวเอง
ในสิ่งแวดล้อม   และความทรงจำในเรื่องของภาพ
จะเด่นมาก  ที่เรียกว่า  visual  หรือ photographic
memory
เด็กกลุ่มนี้ จึงเก่งด้าน ศิลปะ การออกแบบ การ
ปั้น  การต่อประกอบ  การประดิษฐ์ และเก่งด้านดนตรี กีฬา
การหากิจกรรมเหล่านี้ให้เขาเล่น และเชื่อมโยงไปหา
ตัวหนังสือ เช่น ปั้นดินน้ำมันเป็นตัว ก   A  B C
หรือการเลือก บทกลอน นิทาน และ เพลงสนุกๆ
(
สมัยผมก็มีนิทานร้อยบรรทัด)  อ่านให้ฟัง และเปิด
ชี้ให้ดูภาพ ตั้งแต่  6 เดือน
สมองของเด็กจะแยกแยะเสียงและเชื่อมโยงกับภาพได้เก่งมาก
สร้างบรรยากาศที่ดีให้เขาได้สัมผัสอารมณ์ดี  ช่วยให้เขาตอบสนอง
ทางอารมณ์ มองคน และ มองโลกในแง่ดี ครับ
แต่การดูภาพเคลื่อนไหวของ TV นานเป็นชั่วโมงในเด็ก
เล็กก่อน 2, 3 ขวบปีแรก มีผลเสีย ตามกระทู้ข้างบนครับ

TV
ทำให้เด็กขาดการเชื่อมโยง  ส่งผลให้พัฒนาการพูดช้า
และมีลักษณะที่ไม่นิ่งมาก  รวมถึงลักษณะบางอย่างที่
คล้าย ออทิสติก คือ ไม่ตอบสนอง ต่อเสียงเรียก
และไม่ค่อยสนใจมองใบหน้าคนอื่น ไม่เข้าใจอารมณ์
ขาดการมองเห็นภาพรวม และขาดการเชื่อมโยงของประสาทสัมผัส 
แก้ไขเมื่อ 15 ก.พ. 50 21:04:18 จากคุณ : one guy
คุณพี่สาว Laseng อย่าเพิ่งเซ็ง หรือท้อนะครับ
ควรขอความเห็นจากคุณครูของน้องก่อน
ถ้าครูเห็นว่าเด็กรู้เรื่อง หัวดี ก็ไม่น่าห่วงมาก
อาจมีปัญหาขาดแรงจูงใจ หรือ ไม่ค่อยปรับตัว
ค่อยๆสร้งบรรยากาศให้สนุกกับการขีดเขียน
โดยไม่ต้องบังคับหรือเป็นอารมณ์
และสิ่งที่สำคัญมากของการสร้างแรงจูงใจนั้น
ให้เริ่มที่ฝึกให้เขา ทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ในทุกๆเรื่อง
เอาพลังงานที่เหลือเฟือของเขา
มาบริการเราเล็กๆน้อยๆ และและชมเขาบ่อยๆ
เขาอยากทำเพราะต้องการความรู้สึกชื่นชมจากเราครับ
จากคุณ : one guy - [ 15 ก.พ. 50 07:49:10 ]
ขอบคุณคุณ one guy ค่ะ ตอนนี้ลูก 1ขวบ 5เดือนค่ะ ให้ดูทีวีบ้างพร้อมกับพ่อแม่ เค้าชอบดูโฆษณาค่ะ ไม่ค่อยได้ดูการ์ตูนเท่าไร เห็นบางคนบอกดูพวกบาร์นนี่ที่สอน abc อะไรก็น่าจะได้ แต่ไม่ควรให้ดูนาน ๆ ใช่มั้ยคะ แต่ลูกชายก็ชอบปิดทีวีด้วยล่ะ ไม่ค่อยได้ดูนาน ๆ หรอกค่ะ ส่วนเรื่องเหม่อลอยนี่ไม่มีค่ะ แต่เค้าเป็นเด็กซนมาก และอารมณ์ร้อน(เหมือนแม่) เวลาทำอะไรไม่ได้ดังใจ หรือโดนบังคับ (แต่เด็กส่วนมากก็เป็นแบบนี้ใช่มั้ยค่ะ) เคยให้เค้าลองนับ 1-10 เมื่อก่อนก็พูดตามพักหลัง ไม่เอา อย่างเดียว ก-ฮ พอท่องให้ฟังก็ ไม่เอา อย่างเดียว คือเค้ารู้ว่าเราชอบร้องเพลงนี้ให้ฟังก่อนนอน เค้าจะไม่เอาไว้ก่อนเลย เหมือนรู้ว่าแม่จะเริ่มสอนอีกแล้วนะ เราสอนเค้าเร็วไปเหรอคะ แค่ร้องเป็นเพลงนะ ไม่ได้ให้มานั่งเรียนหรือเปิดหนังสือให้อ่าน ดูแล้วเหมือนลูกไม่ชอบหนังสือเลย โตขึ้นจะรักการอ่านไม๊เนี่ย
จากคุณ : gettomom.พ. 50 

ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=281888

1 ความคิดเห็น: