วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เวลาจากคุณสักนิด! เพื่อเพิ่มฤทธิ์เด็กน้อยให้พัฒนา

ขอบคุณที่มา http://time-for-thebetterkids.blogspot.com/2013/12/blog-post.html


ทำไมถึงเลี้ยงเด็กแบบรดน้ำใส่ปุ๋ยทุกวันไม่ได้นะ?

สวัสดีค่ะ...คงสงสัยกับ Topic ของโพสต์นี้กันใช่ไหมเอ่ย? อิอิ^^

บอกไว้ก่อนเลย เพราะว่าพืชเรียนรู้เหมือนกับเด็กๆไม่ได้ไงละ
แต่ถ้าจะให้ต้มตำรา ผัดข้าวคลุกมารยาทให้เด็กกิน ก็คงไม่ดูดซึมได้เหมือนกัน (ฮ่าๆๆ:))

คำถาม แล้วเด็กๆจะได้ทักษาการเรียนรู้ พัฒนามาจากไหน?

สัญชาตญาณ?
ครอบครัว?
สถานศึกษา? โรงเรียนเสริมพัฒนาการ?

เอาเป็นว่า...คำตอบพวกนี้และที่คุณคิดไว้นั้นไม่ได้ผิดนะ
แต่ที่ถูกต้องที่สุดคงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจาก...

"คุณ"
อ่าๆๆๆๆ....
คุณในที่นี้หมายถึง คุณผู้อ่านและบุคคลรอบๆตัวคุณอีกนั่นแหละ
คุณคือใคร? พ่อแม่ ผู้ปกครอง คุณครู พี่เลี้ยง พี่ชายพี่สาว คุณน้าขายอาหารตามสั่งในซอย คุณหมอ นักร้องนักแสดงในทีวี...ฯลฯ

พูดง่ายๆ ก็จะหมายถึง ทุกคนในสังคมที่เด็กคนนั้นต้องพบเจอ

ถ้าจะถามกลับว่า อ่าว? เด็กที่เก่งๆก็มีเยอะหนิ ดูจากโรงเรียนชื่อดังทั่วไปในประเทศมีเยอะแยะ

รู้หรือไม่...เด็กที่โอกาสแข่งขันเข้าโรงเรียนมีเพียง สามหมื่นคน เด็กที่สอบแข่งขันเข้าโรงเรียนดังได้มีประมาณ สี่พันคน ในขณะที่ ประชากรเด็กในแต่ละรุ่นทั่วประเทศมีถึง เจ็ดแสนกว่าคน เลยที่เดียว!

สิ่งที่อยากบอกก็คือ เด็กเจ็ดแสนกว่าคนที่เหลือนี้ ประสบปัญหาวิกฤต คือ ขาดโอกาสในการเรียนรู้

คือปัจจัยก็มีทั้ง จากการเลี้ยงดูสนับสนุน จากพ่อแม่ที่ให้การสนับสนุนไม่เต็มที่ และจากตัวเด็กเอง (Down's syndrome, etc.)

การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กนั้น จะอยู่ระหว่างช่วงอายุ แรกเกิด ถึงประมาณ 6 ขวบ หรือเป็นช่วงที่สมองพัฒนามากที่สุด>>และเริ่มหยุดพัฒนา พร้อมที่จะฝ่อลง -.,->> เพราะฉะนั้นเด็กต้องได้รับการส่งเสริมในช่วงอายุนั้นให้มากที่สุด (ดูได้จาก โฆษณานมใำหรับเด็กหลายๆยี่ห้อ ที่ชวนเชื่อแล้วชวนเชื่ออีกนะคะ ^^)

ที่น่ากลัวอีกอย่างก็คือ มีเด็กเพียงแค่ ร้อยละ 5 จากเด็กทั้งหมดได้รับการแก้ไข และดูแลเข้าถึงในส่วนนี้

คำถามต่อไปคือ อีก ร้อยละ 95 ไปอยู่ไหน??

อาจจะเป็นเพราะเศรษฐกิจมันไม่ดี สังคมเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น หรือประเทศไทยมีคนวัยทำงานมาก โดยเฉพาะช่วงอายุสามสิบต้นๆที่คนส่วนใหญ่นิยมสร้างครอบครัว แต่กลับต้องทำงานเช้ายันดึกเพื่อหาเงินมาสร้างเนื้อสร้างตัว

เด็กหลายคนจึงถูกนำไปฝากสถานรับเลี้ยงที่มีแค่พี่เลี้ยง (ซึ่งเป็นใครจากไหนก็ไม่รู้) มาดูแลระหว่างพ่อกับแม่ไปทำงาน ถ้าไฮโซหน่อยก็พาเข้าเนิสเซอรี่หรือโรงเรียนอนุบาล หลอกให้เด็กเล่นกับของเล่นที่นั่นตั้งแต่เด็กยังพูดไม่ได้

พูดถึงของเล่นเด็ก เชื่อว่าผู้อ่านเคยเล่นกันทุกคนนะคะ มันก็ช่วยพัฒนาสมองเด็กได้จริงๆนั่นแหละ แต่ดูราคาแต่ละชิ้นแล้ว...มันคุ้มใช่ไหม? ไม่โดนหลอกจริงหรือ?

ถ้าเกิดคุณไม่ใช่ไฮโซละ ?? ซึ่งคนส่วนใหญ่ของประเทศ (รวมถึงตัวผู้เขียนด้วย) ก็ไม่ได้มีเงินก้อนนั้นไว้ใช้จ่ายในส่วนนี้มากนัก บางคนถึงขั้นไม่มีด้วยซ้ำ... จะทำยังไง?

แล้ว "เด็กละ??
ย้อนกลับไปที่บอกไปข้างต้นว่า คุณ คือสิ่งที่ดีที่สุดในการปลูกฝังและพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กน้อย

คุณทำอะไรได้บ้าง...?

หรือว่า คุณคิดว่า
...ไม่มีเวลาสำหรับส่วนนั้นหรอก...
...ไม่ใช่หน้าที่เรา พวกโรงเรียนต่างหากที่ต้องสอน...
...จะทำได้หรอ? ไม่มั่นใจเลย...
...ให้สอน? จะให้สอนยังไง?...
ขอประกาศ ณ ที่นี้ว่า...
หยุดความคิดเหล่านั้นซะ!!!

เคยได้ยินไหม? "You are what you think." คุณเป็นอย่างที่คุณคิด...นะคะ (ตรงตัวมาก)

เปลี่ยนความคิดใหม่...คุณทำได้ และ คุณต้องทำ

ขอเวลาสักนิดดดดด!!

อย่าคิดว่าเวลาห้านาทีสิบนาทีไม่มีค่า หรือเวลาแค่นั้นอาจไม่ได้ประโยชน์มากพอ


สร้างบรรยากาศที่ดีเหมาะแก่การเรียนรู้
ชั้นหนังสือน่าอ่าน หยิบง่าย ประจำบ้าน
คำถามเชาว์ปัญญาเล็กๆน้อยๆ สร้างความกล้าที่จะถาม-ตอบ

พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส!

เริ่มตั้นแต่เช้า...

"เอ๊...ป้ายนั้นเเขาเขียนว่าอะไรนะ?"
"ขอ..ไม้หันอากาศ..บอใบไม้...ขับ..."
 
"มาช่วยแม่เลือกจานเร็ว :)"
"แกงไก่ถุงนี้ ใส่ใบไหนดีเอ่ย?"

"เอาสบู่มาผสมน้ำนิดนึง แล้วก็จะได้มาเป่าๆลูกโป่งกัน:)"//ระหว่างอาบน้ำ
ฝึกทักษะการอยู่ในสังคม ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
นิทานก่อนนอนสอนใจสัก 10 นาที ปลูกฝังทัศนคติที่ดีให้เด็กน้อย
เลิกอ้าง เลิกผลักภาระ

ไม่ใช่เสียเวลา แต่คุณได้เวลาอยู่กับลูกมากขึ้น!

เก็บเล็ก ผสมน้อย เพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในอนาคตของเด็ก
สร้างนิสัยในการเรียนรู้ที่ดีให้กับเด็ก <3

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เล่นๆ เรียนๆ ตามประสามีฮา

    วันเสาร์ เราสองคนเลยขออนุญาตชิล ตื่นหกโมงครึ่ง พ่อชูก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกันมีฮา
เมื่อคืนไปส่งแม่ฉิง ทั้งที่อิดออดไม่อยากจะไปบินเนื่องจากมีข่าวว่าอียิปต์ 15 ล้านคน
จะออกมาประท้วงขับไล่ประธานาธิบดี ได้แต่ภาวนาขอให้ไม่มีอะรมากมายนัก เพี้ยง
    ตื่นเช้ามาพบกับอากาศที่บริสุทธิ์ แดดส่องตั้งแต่เช้า เราสองคนรีบล้างหน้า
เก็บของ กล้อง ตังค์นิดหน่อย พามีฮาพ้นประตู ก็ถามมีฮาว่าอยากไปทางซ้ายหรือขวา
มีฮาบอกซ้าย ก็เลยต้องไปทางซ้ายของบ้าน ซึ่งเป็นด้านของหมู่บ้านพฤกษา 36
ไปแวะตุนเสบียงก่อน ซื้อข้าวมันไก่ทอด+ต้ม( ผสมกัน ) แล้วก็มี ขนมไข่หงส์
มุ่งตรงไปยังวัดขวัญสะอาด ตั้งใจจะพามีฮาไปดูกิจของพระสงฆ์ ว่าตอนเช้าๆท่านทำอะไรบ้าง
พอไปถึงมีฮาก็ได้เล่นกับเพื่อนใหม่เลยคือเจ้าแมวน้อย

 เจ้าแมวน้อยสีขาวเพื่อนของมีฮา

เล่นกันสนุกสนาน เจ้าแมวน้อยก็น่ารักเสียเหลือเกิน


   เล่นกันจนเกือบจะแปดโมง ต้องกลับบ้านแล้ว แดดเริ่มแรง มีฮาก็ยังไม่ได้ทานข้าว
มาถึงบ้าน จัดแจงข้าวมันไก่ใส่ถาดของมีฮา แล้วนั่งกินบนไฮแชร์ นั่งกินข้าวอย่างอร่อยเลย
คงเพราะได้เล่นอย่างสนุก นั่งไปหันมองนาฬิกา ใกล้แปดโมงต้องรีบเปิดวิทยุ
เพราะมีฮาชอบยืนตรงเคารพธงชาติ ถึงเวลาติ๊กต๊อก จะแปดโมงก็ต้องลุกลงมาข้างล่างก่อน
มาเคารพธงชาติเสียก่อน ค่อยกลับไปนั่งกินข้าวใหม่อีกรอบ กินได้อีกไม่กี่คำ มีฮาก็อิ่มแล้ว
กินข้าวมันไก่หมดไปครึ่งกล่อง เก่งมากวันนี้ แล้วก็มากินแก้วมังกร มะละกอ
แล้วก็ไปให้อาหารเจ้าซื่อบื้อ เจ้าซื้อสัตย์ นั่งเล่นชิงช้า เล่นแฟลชการ์ด ตัวเริ่มมอมแมม
เลยชวนเล่นน้ำ  เล่นไปด้วย เรียนไปด้วย เรียนเรื่องการไหลของน้ำจากที่สูงลงทีต่ำ
อุปกรณ์ไม่มีอะไรมาก มีไม้ไผ่ผ่าครึ่ง แล้วเซาะเอาปล้องออก จากนั้นก็ให้มีฮาสมมุติการรดน้ำ
พอเทน้ำใส่ด้านที่สูง น้ำก็จะไหลไปทางด้านต่ำ แล้วก็โดนต้นไม้ ทำให้มีฮาสนุกสนาน
จากนั้นก็เล่นช่วยน้ำออกจากขวด เอาขวดมาใส่น้ำแล้วเอาหนังยางรัด แล้วให้มีฮาหาวิธีเอาน้ำออก
ตอนแรกก็ทั้งเท ทั้งทุบ ทั้งดึง จึงต้องใบ้ให้ โดยให้หาอะไรมาจิ้ม มีฮาก็ได้ไม้แถวนั้นมาจิ้ม
แล้วก็ช่วยให้น้ำออกมา แล้วมีฮาก็เอาไปรดน้ำต้นไม้ กลายเป็นบัวรดน้ำต้นไม้ไปเลย

 ของเล่นมีฮา เล่นน้ำไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ

เล่นช่วยน้ำออกจากขวด

เล่นน้ำกันนานมาก จนริมฝีปากเริ่มเป็นสีม่วง ต้องพามีฮาไปแต่งตัว  แต่ยังไม่ทันจะเข้าบ้าน
ยายจ๋าข้างบ้านก็ออกมาชวนคุย ไปคุยกับยาย แล้วก็แย่งยายกินข้าวอีก กว่าสิบคำ
ยายจ๋ามีแหนมปลากรายกับข้าวสวย  ถูกใจมีฮา คราวหน้าต้องลองหามาให้มีฮาหม่ำเสียหน่อย
ท่าทางจะชอบมาก กินข้าวจากยายอีกรอบก็ได้เวลา แปรงฟัน แล้วก็พาไปนอนข้างบน ก่อนจะนอนมีฮาขอดูโพโรโร่ก่อน ดูไปประมาณสิบรอบได้ ร้องตาม เต้นตามสารพัด กว่าจะได้กินนม ฟังนิทานนอนกัน
นอนตอน สิบโมงครึ่ง จนถึงบ่ายโมงครึ่ง พาลงไปข้างล่างไปนั่งกินข้าวมันไก่ที่เหลือต่อ กินเกือบหมด
พ่อชูจึงขอนั่งกินข้าวบ้าง แล้วก็ให้มีฮาไปเล่นกับยาย มีฮาไปค้นตู้ได้ของกินมาอีก ทั้งขนม
ทั้งอาหารขวด มาให้ยายช่วยแกะ ช่วยป้อน แล้วก็เปิดตู้เย็นได้โยเกิร์ตมากินอีก กินไปเกือบหมดอีก
วันนี้กินเก่งมากเลย เจริญอาหารจริงๆ กินเสร็จแล้วพ่อชูก็ขอไปเก็บกวาดของที่เคาน์เตอร์
แล้วให้ยายช่วยดูมีฮา เธอก็วิ่งไปวิ่งมา จะช่วยๆพ่ออยู่นั่นแหละ ช่วยยุ่งตลอดกว่าจะเสร็จก็บ่ายสามครึ่ง
เห็นว่ามีฮางอแง คงอยากกินนม เลยพาไปกินนม แล้วเล่นกันบนบ้าน จนถึงบ่ายสี่โมงครึ่ง
ก็พากันออกเดินทาง ไปซิ่งกันต่อ วันนี้ขับไปทางเส้นสุวิทวงท์ ตั้งใจจะขับไปเล่นเรื่อยๆ
หาที่ใหม่ๆให้มีฮาเล่น ขับไปได้สักพักก็เห็นเขากำลังหว่านข้าว เลยจอดรถลงดู แล้วก็พามีฮาเล่นสำรวจ
ต้นไม้ วันนี้มีฮาได้รู้จักอีกหนึ่งอย่างก็คือปลวกที่จะเหมือนอุโมงค์ขึ้นไปบนต้นไม้ หาไม้ให้แล้วให้มีฮา
ลองเอาไปแหย่ เอาไปแคะดู

แหย่หาปลวก
   
     เห็นป้ายโรงเรียนไม่ได้ต้องขอแวะดูเสียหน่อย เจออีกหนึ่งโรงเรียนซึ่งอยู่ในเส้นสุวิทวงท์
เป็นโรงเรียนเล็กๆ น่ารักๆ บรรยากาศรายล้อมด้วยธรรมชาติ อากาศโล่งโปร่งสบาย
เลยพามีฮาจอดรถเข้าไปเล่นหน่อย มีทั้งสนามเด็กเล่น มีพี่คิงคองด้วย
ขอขี่พี่คิงคองหน่อยนะคะ

เล่นสนามเด็กเล่นสนุกสนานเลย




พี่คิงคองที่นี่มีตั้งสามตัวแหน่ะ

ดีใจๆ ได้ขับรถด้วยค่ะ

เล่นที่โรงเรียนนี้เสร็จก็ต้องพามีฮาไปหาพี่แพรวา ตามสัญญาไว้หลายวันก่อนโน้นว่าถ้าฝนไม่ตก
จะพาไปเล่นกับพี่แพรวา พี่แพรวาเป็นลูกของภารโรง โรงเรียนวัดขุมทอง อยู่อนุบาลสองแล้ว
แต่มีฮาชอบเล่นกับพี่แพรวามาก พี่แพรวาก็ชอบมีฮาเหมือนกัน

มาทักทายเจ้าลายก่อน


จะบอกว่าสองคนนี้ยังอ่านไม่ได้นะ แต่ท่าให้มาก

มืดแล้วกลับบ้านดีกว่า

 เล่นกับพี่แพรวาเสร็จก็กลับบ้านมาทานข้าว มื้อเย็นของมีฮาเป็นไข่ต้ม กินกับซอส ไข่ทอดใส่หอมหัวใหญ่
ผัดผัด พึ่งจะรู้ว่ามีฮาชอบกินอะไรที่จิ้มซอสภูเขาทองมาก กินไข่หมดไปฟอง กินข้าวไปเยอะมาก
ซึ่งทุกอย่างมีฮาจะให้เอาจิ้มซอสก่อน กินง่ายจริงๆเลยเรา กินแบบว่าไม่ต้องคะยั้นคะยอเลย
อั้มหายๆเลย กินหมดแล้วก็มานั่งเล่นกัน แล้วก้ได้เวลาไปอาบน้ำ มีฮาไปอาบน้ำทำให้สำรวจเห็นว่า
วันนี้มีแผลที่นิ้วโป้ง ก็สังเกตตั้งแต่ตอนไปเล่นกับพี่แพรวา มีฮาจะบอกว่ามดกัดนิ้ว ก็คงเพราะแผลนี้
อาจจะเกิดจากไปดึงหญ้าที่มันคมๆ มีตุ่มยุงเบ้อเริ่มที่ขา มีตุ่มยุงที่เปลือกตา (ไม่รู้มันไปกัดได้ไง)
อาบน้ำแปรงฟัน มานั่งดูดีวีดีได้ไม่เท่าไหร่ก็บอกให้ปิดๆ จะไปกินนม อ่านนิทานแล้ว
กินนมไปอ่านนิทานเรื่องเจ้าหนูใจดี การเดินทางแสนสนุก(2รอบ) หนูจิ๋ว พออ่านจบปุ๊บ
ไปปิดไฟ มีฮาก็หลับปุ๋ย
   ฝันดีจ้ะ สาวน้อย แล้วพรุ่งนี้จะมีอะไรเล่นกันอีกนะ

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ไว้อาลัยแด่ระบบการศึกษาไทย

ไว้อาลัยแด่ระบบการศึกษาไทย!

โดย : อภิรดี จูฑะศร
พับลิกโพสต์ออนไลน์ : 3 สิงหาคม 2555
มีเพื่อนในเฟสบุ๊คท่านหนึ่ง เอานิทานมาเล่าให้ฟัง ชื่อเรื่องว่า 'โรงเรียนของสัตว์' เรื่องมีอยู่ว่า...
rabbit 01"ในวันหนึ่งสัตว์ทั้งหลายในป่าได้มารวมตัวกัน และตัดสินใจ ว่าจะตั้ง โรงเรียนของสัตว์ ขึ้นมา กระต่าย นก กระรอก ปลา และปลาไหล ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการพัฒนาหลักสูตร กระต่ายยืนกรานว่า เรื่องการวิ่งจะต้องเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตร ส่วนนกบอกว่า เรื่องการบินก็ต้องอยู่ในหลักสูตร ปลาบอกว่า การว่ายน้ำจะต้องอยู่ในหลักสูตรเช่นกัน ส่วนกระรอกก็บอกว่า การปีนขึ้นต้นไม้ในแนวดิ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น และเห็นควรรวมไว้ในหลักสูตรด้วยซึ่งในที่สุดพวกสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับมอบหมายให้ร่างหลักสูตร ก็ได้นำวิชาต่างๆ เหล่านี้มารวมกัน และจัดทำเป็นหลักสูตรขึ้นมา พร้อมกับ ป่าวประกาศ และบังคับให้สัตว์ทั้งหลายที่เข้าเรียนหลักสูตรนี้ จะต้องสอบผ่านทุกวิชาตามที่กำหนดไว้
กระต่ายซึ่งเคยได้เกรดเอจากการวิ่ง มีปัญหามากในเรื่องการปีนต้นไม้ในแนวดิ่ง มันปีนขึ้นไปแล้วก็ตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดหัวสมองก็ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถจะวิ่งต่อไปได้ จากที่เคยได้เกรดเอในการวิ่ง ตอนนี้มันกลับได้เกรดซี และแน่นอนมันได้เอฟ (สอบตก) ในการปีนต้นไม้ นกที่เคยเก่งมากในเรื่องการบิน แต่พอต้องเรียนวิชาขุดโพรงลงไปในดิน มันก็ทำได้ไม่ดีนัก จะงอยปากของมันแตกและปีกของมันก็หัก ในไม่ช้ามันก็ได้เกรดซีในวิชาการบิน และได้เอฟในวิชาขุดโพรง แถมประสบปัญหาในเรื่องการปีนต้นไม้ในแนวดิ่งเช่นกัน
p-warm-okในที่สุดสัตว์ที่สามารถเรียนจบผ่าน หลักสูตรนี้ไปได้กลับกลายเป็น เจ้าปลาไหล ที่ทำทุกอย่างผ่านได้แบบครึ่งๆ กลางๆ แต่มันก็ทำให้ผู้สร้างหลักสูตรมีความสุข ที่เห็นว่าสัตว์เหล่านั้น ได้เรียนรู้ทุกวิชาที่เหล่าบรรดากรรมการหลักสูตร ได้พัฒนาขึ้นมา และต่างพากันเรียกการศึกษาแบบนี้ด้วยความภูมิใจว่า "การศึกษาแบบครอบจักรวาล"
ฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่ามันคุ้นๆ ไหม? นี่ล่ะคือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับการศึกษาในเมืองไทย (ความจริงมันเกิดขึ้นมานานแล้วด้วยซ้ำ) ระบบการศึกษาแบบไทยๆ ที่ทำร้ายเยาวชนของเรามานานนักแล้ว ทุกปีเด็กไทยจะมีปัญหาเรื่องของการสอบเข้าเรียนเสมอ ไม่ว่าจะเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษา สอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ที่สุดแล้วก็เป็นไปเพื่อจะสร้างสถิติใหม่ๆ ที่ว่า เมืองไทยมีบัณฑิตจบใหม่ตกงานเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี และด้อยคุณภาพลงไปทุกที นั่นเพราะระบบการศึกษาบ้านเราได้ทำลายแรงบันดาลใจ เชาว์ปัญญา และอัจฉริยภาพที่แตกต่างกันในตัวคนแต่ละคนลงไป จนกลายเป็นเด็กพิมพ์เดียวกัน ที่ขาดไร้ซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง ขาดความมั่นใจในตัวเอง และไร้ทิศทางอนาคต สิ่งเหล่านี้ผู้เขียนพบเจอบ่อยครั้งในการไปบรรยายให้กับนักศึกษาในหลายสถาบัน ซึ่งเราไม่อาจโทษเด็กได้เลย เราเพียงต้องให้โอกาสพวกเขาได้แสดงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวฉายแววออกมา
thai education 01
ในความเป็นจริงแล้ว เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมศักยภาพที่มีอยู่ใน  ตัวตนของพวกเขา เพียงแต่ศักยภาพที่มีอยู่นั้นได้ถูกขัดเกลา ส่งเสริม และเกื้อหนุน ให้ฉายแววโดดเด่นออกมาได้มากน้อยแค่ไหน ไม่เฉพาะผู้ปกครองเท่านั้นที่จะต้องคอยส่งเสริมเกื้อหนุน แต่สถาบันการศึกษาคือ ส่วนสำคัญยิ่งในการผลักดันหรือต่อยอดเชาว์ปัญญาและศักยภาพของเด็กๆ ให้  โดดเด่นขึ้นได้
oh noทว่า... ด้วยระบบการศึกษาแบบท่องจำ และยำรวมมิตรแบบบ้านเราทุกวันนี้ ได้ทำให้ศักยภาพของเด็กๆ ถูกกดทับ การเรียนการสอนแบบท่องจำ ไม่ได้ช่วยเสริมจินตนาการใดๆ แบบเรียนที่ใช้สอนกันมา ก็ไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ช่วยเปิดโลกทรรศน์ที่ปราศจากการครอบงำความเชื่อเดิมๆ ออกไป แต่กลับพยายามตอกย้ำฝังหัวเด็กแบบผิดๆ โดยไม่เปิดรับองค์ความรู้ หรือการค้นคว้าใหม่ๆ ไม่นิยมให้เด็กโต้เถียง หรือตั้งคำถามที่แย้งไปจากตำรา อีกทั้งการออกข้อสอบเพื่อวัดความรู้ เช่น กรณีโอเน็ต ยังทำให้ผลการสอบของเด็กไทยต่ำเตี้ยติดดินครั้งประวัติศาสตร์ อีกด้วย แสดงถึงความล้าหลังทางความคิดของคนออกข้อสอบ ที่ไม่ได้สะท้อนการเรียนรู้ของ เด็กให้พวกเขานำไปใช้ในชีวิตจริงได้ แต่กลายเป็นว่า ข้อสอบมีไว้เพื่อคัดกรองเอาแต่เด็กที่คิดตามแบบคนสอน หรือได้คะแนนมา เพราะสามารถเดาใจคนออกข้อสอบได้เท่านั้นเอง 
เมื่อไม่นานมานี้มีการวิเคราะห์ข้อสอบ โอเน็ต โดยนำไปเทียบกับข้อสอบนานาชาติ หรือที่เรียกกันว่า PISA ผลปรากฏว่า ข้อสอบของโอเน็ตกับข้อสอบของ PISA ต่างกันชนิดคนละศตวรรษ โดยผู้วิจัยสรุปว่า ข้อสอบโอเน็ตยังเป็นข้อสอบที่อยู่ในศตวรรษที่ 20 ขณะที่การสอบประเมินผลในระดับนานาชาติเป็นข้อสอบที่ก้าวมาอยู่ในศตวรรษ ที่ 21 แล้ว...พูดง่ายๆ ก็คือ ของเราล้าหลังชนิดข้ามศตวรรษกันเลยทีเดียว!
เหตุที่เอาปัญหานี้มาพูดถึง ก็เพราะทราบข่าวมาว่า ทาง สพฐ.กำลัง เสนอให้มีการนำคะแนนโอเน็ต 20% มารวมกับผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร (GPAX) ของนักเรียน ข่าวว่า แนวทางนี้กำลังเสนอต่อเจ้ากระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถ้าเกิดเขาเห็นพ้องต้องกันขึ้นมา ก็แปลว่า ลูกหลานของเราจะต้องมาผจญกับการออกข้อสอบแบบย้อนยุคอีกล่ะสิ แปลว่าถ้าทำคะแนนโอเน็ตไม่ดี ก็มีสิทธิฉุดคะแนนเฉลี่ยสะสมที่อุตส่าห์ตั้งใจ เรียนมาตลอดหลายเทอม ให้หล่นฮวบหงายเงิบไปด้วย!?
thai education 03
นิทาน 'โรงเรียนของสัตว์' สะท้อน ว่า การศึกษาของไทยพยายาม อย่างเหลือเกินที่จะทำให้คนทุกคนเหมือนกัน ให้เก่ง และสอบผ่านทุกวิชาในหลักสูตร ที่ถูกยำรวมมิตร โดยผู้สร้างหลักสูตรที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของความเป็นปัจเจกที่มีอยู่ในตัวของ แต่ละคน (ซึ่งแตกต่างกัน) ได้ทำลายศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในแต่ละคน บั่นทอนความเป็นตัวของตัวเองในคนแต่ละคนจนหมดสิ้น เด็กทุกคนที่เกิดมาพร้อมเชาว์ปัญญาเฉพาะตัว แต่พอพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้กลับหายไปเพราะว่า การศึกษาไม่ได้สอนให้เป็นไปตามธรรมชาติของแต่ละคน ไม่ได้ให้ความเคารพในสิ่งที่แต่ละคนมี แต่กลับควบคุมบังคับให้ทุกคนเป็นไปตามรูปแบบที่กำหนด ซึ่งมีเพียงบางคนเท่านั้นที่สามารถเดินไปตามขนบรูปแบบนี้ได้ 
จึงต้องขอไว้อาลัยแด่การศึกษาของไทยด้วยประการฉะนี้!!


ที่มา  http://www.krumontree.com/main/index.php/documents/130-rip-thai-ed

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ศิลปะจาก "ก้นขวดพลาสติกน้ำอัดลม"



ศิลปะจาก "ก้นขวดพลาสติกน้ำอัดลม"

ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ น้ำอัดลมขายดีเป็นพิเศษ (ขอสารภาพผม ปกติไม่ค่อยกินน้ำอัดลม แต่อากาศเยี่ยงนี้ แทบจะกินแทนน้ำเปล่าเลยทีเดียว)

สังเกตก้นขวดจะเป็นกลีบๆ ก้นขวดนี้แหละที่สร้างสรรค์งานศิลปะสนุกๆ ครับ

ลองเอาไปเล่นกับลูกๆ ดูนะครับ แต่ระวัง! เลอะเทอะ เละเทะ นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าดีดี



เรื่องเล่าดีดี...


มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจที่ลูกชาย
วัยห้าขวบของเขากำลังจะได้ เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง
ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น

โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก
ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไป ท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง ” ความยากจน ”

เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน
เขาจึงพาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง
และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่า
ลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดา ว่าเขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนา และพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า....

ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา

อาหารที่ชาวนารับประทานสามารถหาได้ตลอดเวลา รอบๆบริเวณบ้านโดย ไม่ต้องซื้อหา ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้น ที่เป็นที่เก็บอาหาร

เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหาร กับโต๊ะอาหารที่ยาวเกือบสิบเมตร
และ มีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

ลูกชาวนา ที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่น
เพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน

แต่เขาเอง ต้องนั่งในรถที่ใหญ่โต
อยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับรถพาไปทุกที่

ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟ ส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลน แต่เขา ก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา

แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่

ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน
แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า..... จริงๆ แล้ว.......เรายากจนกว่าชาวนามาก



ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=1105497&month=28-08-2012&group=10&gblog=53

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

วัดแววความสามารถ

"เด็กทุกคน เกิดมามีศักยภาพในการเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม การเรียนรู้และศักยภาพภายในที่ซ่อนอยู่ในแต่ละเรื่อง และเด็ก 1 ในหมื่นคนของแต่ละสาขาต้องเป็นอัจฉริยบุคคลได้ ดังนั้น พ่อแม่จึงต้องสอนจากสิ่งที่เขาเก่ง ค้นพบจุดเด่นว่าเด็กเก่งจริง ส่วนโรงเรียนต้องมีหน้าที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ของเด็กให้สอดคล้องกับ ศักยภาพของเขาให้มากที่สุด" เป็นคำพูดของ ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ผู้กล่าวได้ว่าเป็นนักวิชาการด้านเด็กอัจริยะที่มีชื่อคนหนึ่งของประเทศไทย ปัจจุบันเป็นประธานศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก มศว ศูนย์แห่งนี้ จะทำการวัดแววความสามารถของเด็ก เพื่อนำไปสู่การส่งเสริมความรู้ความสามารถของเด็กได้ตามศักยภาพที่แท้จริง

ความสามารถของมนุษย์นั้น ผศ.ดร.อุษณีย์ บอกว่าจัดได้ 10 กลุ่ม คือ กลุ่มภาษา กลุ่มคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การเคลื่อนไหว ดนตรี ศิลปะ สังคม อารมณ์ การช่างและอิเล็กทรอนิกส์ และญาณปัญญา โดยทั่วไปเด็กอัจฉริยะนั้นจะต้องแสดงความโดดเด่นออกมาอย่างน้อย 1 ด้าน ซึ่งบางคนอาจจะมีความโดดเด่นเพียงด้านเดียวหรือหลายด้านก็ได้ การวัดแววความสามารถของเด็กนั้น จะนำไปสู่การส่งเสริมการเรียนการสอนตามศักยภาพของเด็กแต่ละคน เพราะหากลูกมีแววอีกด้านหนึ่ง แต่พ่อแม่ ผู้ปกครองต้องการให้ลูกเป็นอีกอย่างหนึ่ง จะเป็นการทำร้ายลูกไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้

วิธีการวัดแววความสามารถเด็กก็ ไม่ได้ยุ่งยาก แค่เพียง พ่อ แม่ ผู้ปกครอง พาเด็กมาที่ศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก เจ้าหน้าที่จะให้เด็กเล่นตามความสนใจในมุมต่างๆ เช่น มุมวิทยาศาสตร์ มุมคณิตศาสตร์ มุมสังคมศึกษา มุมภาษา มุมดนตรี มุมอารมณ์และสังคม ฯลฯ โดยทุกมุมได้ออกแบบสื่อและกิจกรรมที่ใช้ทฤษฎีหลายทฤษฎี เช่น ทฤษฎีการพัฒนาความคิดระดับสูง ทฤษฎีทางด้านจิตวิทยาเพื่อกระตุ้นให้เด็กแสดงพฤติกรรมและความสามารถที่ซ่อน อยู่ภายในให้ออกมาปรากฏอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่มีการสอบที่ถือเป็นการรีดเค้นทักษะศักยภาพ และไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริง

แต่ละมุมจะมีเกม จิ๊กซอว์ ของเล่น เช่น กล้องจุลทรรศน์ โน้ตบุ๊ค สัตว์ ผลไม้ รวมถึงภาพโปสเตอร์ แผนที่ หนังสือที่มีภาพประกอบ ฯลฯ เพื่อสังเกตถึงแววความถนัดและภาวะอารมณ์และสังคมของเด็ก รวมถึงข้อมูลจากแบบสอบถามและสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้ปกครองเพื่อทดสอบระดับสติ ปัญญา (ไอคิว) ที่สำคัญศูนย์ดังกล่าวไม่ได้เน้นตรวจ สอบไอคิวอย่างเดียว แต่เน้นตรวจสอบเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ และสิ่งที่เด็กแสดงออกในศูนย์ เด็กแต่ละคน จะเข้ามาทำกิจกรรมในศูนย์ประมาณ 12 ครั้ง ตามความสะดวกของผู้ปกครอง

ซึ่งศูนย์จะมีชุดแบบสำรวจแววอัจฉริยะจำนวน 3 เล่ม ได้แก่ 1. รู้จักและเข้าใจอัจฉริยะจิ๋ว 2. สำรวจแววลูกน้อย และ 3. แบบสำรวจแววอัจฉริยะ พร้อมซีดี และเอกสารวัดแววความสามารถเด็กทั้ง 9 แวว ให้ด้วย

เมื่อทำกิจกรรมครบ 12 ครั้ง จะมีคณะกรรมการ ประกอบด้วย แพทย์ นักจิตวิทยา นักการศึกษาพิเศษ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขา และนักวิชาการประจำศูนย์ รวมทั้งนักวิชาการสาขาที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันประเมินผลความถนัดและภาวะอารมณ์ สังคม ความคิด ความถนัดพิเศษและจิตใจของเด็ก หากพบผู้ที่มีความสามารถพิเศษด้านต่างๆ จะบอกให้ผู้ปกครองทราบ เพื่อจะได้ส่งเสริมให้ถูกทางต่อไป และให้ความรู้พ่อแม่เกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความถนัดของเด็ก รวมถึงการพัฒนาทางอารมณ์ สังคมและจิตใจในกรณีของเด็กปกติด้วย

โดยจะมีการเชิญผู้ปกครองมาพูดคุยเพื่อแนะนำการพัฒนาลูกเป็นรายๆ ไป ขั้นตอนนี้ถือว่ามีความสำคัญที่สุด เพราะว่าผู้ปกครองอาจจะไม่เข้าใจลูก บางคนมีความคาดหวังกับลูกสูง บางคนเลี้ยงดูลูกมาผิดๆ การเปลี่ยนความคิด วิธีการต่างๆ จึงเป็นเรื่องยาก เราต้องระมัดระวังไม่ให้กระทบจิตใจของผู้ปกครอง แต่ในขณะเดียวกันต้องหาทางให้พ่อแม่พัฒนาลูกให้ถูกทางด้วย

"เวลาที่เด็กแต่ละคนทำกิจกรรม ในศูนย์จะเล่นโดยอิสระ โดยมีผู้ปกครองรอด้านนอก และมีแบบสอบถามให้ผู้ปกครองกรอกด้วย โดยขอความร่วมมือว่าต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง และจะรับเด็กไม่มาก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานอย่างละเอียด โดยหนึ่งคนต้องดูแลเด็กประมาณ 5 คน ถ้ามากกว่านี้อาจจะเสี่ยงต่อการผิดพลาดได้" ผศ.อุษณีย์ กล่าว

เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะสร้างลูกให้เป็นอัจฉริยะ
  1. ต้องไม่ตั้งใจให้ลูกเป็นอัจฉริยะ
  2. ดูว่าลูกทำอะไรได้ดีที่สุด พ่อแม่ต้องรีบสนับสนุนทันที
  3. อย่าบังคับ ขู่เข็ญ ให้ลูกเป็นตามที่พ่อแม่ต้องการ
  4. ให้ลูกได้มีโอกาสเจอกับคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เก่งๆเพื่อให้ช่วยกระตุ้นศักยภาพออกมา
  5. พ่อแม่ต้องทุ่มเทเวลาและความเข้าใจในการ เลี้ยงดู เพราะอัจฉริยภาพเริ่มจากความรัก ให้ลูกทำในสิ่งที่เขารักแล้วจะเป็นจฉริยะได้อย่างมีความสุข
  6. พ่อแม่ต้องฝึกให้ลูกทำงานทุกชิ้นให้สำเร็จ ฝึกให้เป็นคนทำงานหนัก เพราะในโลกนี้ไม่มีอัจฉริยะคนใดขี้เกียจเลย
  7. พ่อแม่ที่ให้ลูกเรียนเก่งอย่างเดียว ท้ายที่สุดจะพบความล้มเหลวในการทำงานในอนาคต จึงอยากให้พ่อแม่ฝึกลูกให้มีความรับผิดชอบต่อตนเองอย่างรอบด้าน ไม่ใช่เรื่องเรียนอย่างเดียว
ขณะเดียวกันโรงเรียนต้องมีส่วนใน การพัฒนาแววเด็ก หัวใจสำคัญคือต้องสร้างโอกาสให้เด็กแสดงออกที่หลากหลาย เช่น การตั้งชมรมให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมมากๆ เช่น ชมรมถ่ายรูป สร้างเวบไซต์ ฯลฯ เปลี่ยนวิธีสอน จากบรรยายมาเป็นกิจกรรมที่หลากหลาย
ภัทรียา (สงวนนามสกุล) คือแม่ที่นำลูกชายอายุ 7 ขวบมาวัดแววความสามารถ เล่าว่า ครั้งแรกคิดว่าลูกเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ พอมาวัดแววปรากฏว่าลูกชอบศิลปะเขียนรูปสวยมาก และเกลียดคณิตศาสตร์ที่สุด แต่ที่ทำคะแนนได้ดี และแข่งได้เหรียญทอง เพราะรักพ่อแม่ ไม่อยากให้เสียใจ เมื่อรู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกแล้ว ปัจจุบันเธอจึงให้ลูกเรียนด้านศิลปะควบคู่คณิตศาสตร์ ปรากฏว่าลูกทำได้ดีทั้งสองอย่าง ทำให้ได้ข้อคิดว่าหากมุ่งเน้นคณิตศาสตร์อย่างเดียวอาจจะเป็นการทำร้ายลูกไป โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
การพาลูกไปวัดแววไม่ได้หมายความว่าลูกของคุณจะเป็นอัจฉริยะ แต่อย่างน้อยจะทำให้ได้รู้ว่าลูกของคุณมีแววความสามารถด้านไหน จะส่งเสริมอย่างไรให้ถูกทาง พ่อ แม่ ผู้ปกครองที่สนใจพาลูกอายุ 3-15 ปีไปวัดแววความสามารถ ติดต่อไปได้ที่ ศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก มศว เปิดบริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-19.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น. หยุดวันนักขัตฤกษ์ ค่าใช้จ่ายประมาณ 7,500 บาท สอบถามได้ที่โทร.0-2644-1000 ต่อ 5632, 0-2260-2601, 0-2259-6173 ทั้งนี้ ศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก มศว เปิดเป็นทางการแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2550
 
โดย : หทัยรัตน์ ดีประเสริฐ และ ผกามาศ ใจฉลาด
ที่มา : http://www.komchadluek.net วันจันทร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2550

ขอขอบคุณ: http://www.iqeqdekthai.com


ศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก มศว เปิดบริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-19.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 09.00-17.00 น. หยุดวันนักขัตฤกษ์ ค่าใช้จ่ายประมาณ 7,500 บาท สอบถามได้ที่โทร.0-2644-1000 ต่อ 5632, 0-2260-2601, 0-2259-6173 ทั้งนี้ ศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก มศว เปิดเป็นทางการแล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2550


ความคิดเห็นที่ 2
   มีข้อมูลมาบอกค่ะเรื่องการค้นหาแววเด็ก

ปัจจุบันมีศูนย์ที่ค้นหาแววความสามารถเด็ก 3 ที่ค่ะ

1. ศูนย์อัจฉริยภาพเด็ก มศว.02-2602601

2. ศูนย์อัจฉริยภาพเด็ก รร.มหิดลวิทยานุสรณ์ 02-8497162

3. ศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด ธัญธานี ลำลูกกา ปทุมธานี 02-5601141

ใกล้ที่ไหนไปที่นั่น

ขั้นตอนการสมัคร โทรไปสอบถามได้ทุกวันค่ะนักวันเวลาทดสอบได้เลย





ปิดเทอมนี้ทำอะไรดีๆเพื่อลูกกันเถอะ ค้นหาแววลูกได้แล้ววันนี้


ปัจจุบันมีศูนย์อยู่ 3 ศูนย์ ที่ทำการค้นหาแววเด็ก
1.ศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด ลำลูกกา ปทุมธานี โทร.02-5601141
ที่ศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด ที่ลำลูกกากระบวนการต่างๆเหมือนกันและได้สมุดรายงานผลเหมือนกับของมหิดลค่ะ
ค่า ใช้จ่ายที่ศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิดที่ลำลูกกา จะแพงกว่าเพราะตั้งเป็นเอกชนค่ะ 5000 บาท แต่ช่วงปิดเทอมจะลด.ก 10 เปอร์เซ็นค่ะ เหลือ 4500
ของมศว. 3500 บาท มหิดล 2500 ค่ะ
ที่ลำลูกกาตอนนี้คิวยังว่างอยู่เพราะพึ่งเปิดค่ะ


ศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด ลำลูกกา
ตอน นี้มีส่วนลดค่ะ ทั้งหมดรวม26 ชั่วโมงค่ะ ทดสอบ 1 ชั่วโมง เข้ากระบวนการ.ก 12 ครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมง ให้คำปรึกษาแก่ผู้ปกครอง.ก 1 ชั่วโมง เด็กจะได้ใบรับรองผลการวัดแววจากทางศูนย์ฯค่ะ เหมือนมศว.และมหิดลค่ะ
1 คน 4500
2 คน คนละ 4000
3 คน คนละ3500 ค่ะ
พอ ครบ 12 คร้ง ทางนักวิชาการประจำตัวเด็กจะทำการรวบรวมผลการสังเกตพฤติกรรมทั้ง 12 ครั้ง ปรึกษากับทางผู้เชี่ยวชาญคือผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ เพื่อยืนยันผลการวัดแววและให้คำปรึกษาเป็นรายกรณีค่ะ


2.ศูนย์อัจฉริยภาพเด็ก รร.มหิดลวิทยานุสรณ์
3.ศูนย์อัจฉริยภาพเด็ก มศว.ประสานมิตร โทร 02-2602601
รับเด็กอายุ 4-12 ปีค่ะ ***ปิดเทอมนี้ทำอะไรเพื่อลูกกันน่ะค่ะ*
ที่แรกน่ะค่ะศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด ลำลูกกาคลองสี่-คลองห้า ปทุมธานี
เปิดวันอังคารถึงวันอาทิตย์ ปิดวันจันทร์
วันอังคาร-ศุกร์11.00-20.00
เสาร์-อาทิตย์ 9.00-18.00
โทร.02-5601141
**โทรสอบถามรายละเ.ยดได้หรือขอรายละเ.ยดที่ศูนย์ได้เลยค่ะ***

ที่สอง ศูนย์อัจฉริยภาพเด็กโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ รับเด็กอายุ 4-10 ปี โทร02-8497162



สถานที่วัดความสามารถ
1.ศูนย์อัจฉริยภาพ ม.ศรีนครินทร์ฯ ประสานมิตร :ค่าใช้จ่ายหลักพัน แต่รอนานนนนนนนน มากกกกกก ค่ะ ดิฉันส่งใบสมัครไป ตั้งแต่ธันวาปีที่แล้ว ตอนแรกบอกว่าคิวประมาณ 2 เดือน ป่านนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อ โทรถาม จนท.ก็ไม่มี service mind เลย บอกว่าไม่ต้องโทรมาอีกถึงเวลาจะติดต่อมาเอง คือให้รอไปอย่างไม่มีอนาคตนะค่ะ
2. REED INSTITUTE 02-2391017 อันนี้ฝรั่งทำค่ะ ราคา30,000 up
3.สำหรับดิฉันโรงเรียนติดต่อให้ เพิ่ง test เสร็จไป เป็นนักจิตวิทยทางการศึกษาชื่อคุณ Melody Appleton ค่าใช้จ่าย 20,000 กว่า
จาก การค้นคว้าด้วยตนเองพบว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นบุคคลสำคัญที่สุดที่จะเห็นแนวโน้ม การเป็นอัจฉริยะของลูก เพราะอัจฉริยภาพหลายอย่างไม่ได้แสดงออกในด้านการเรียนหนังสือเพียงอย่าง เดียว
อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมลองดูที่ //giftedkids.about.com, kidsqure.com, a-gifted-child.com, gifteddevelopment.com ดูนะคะ มีข้อมูลน่าสนใจมากมายเลย


สถานที่วัดแววความสามารถ อีก 1 ที่น่ะค่ะ

ศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด ลำลูกกา คลอง 4 ค่ะ รับเด็ก 4-12 ปี

- ศูนย์เราป็นศูนย์ที่นำแนวความคิดและกระบวนการจากศูนย์อัจฉริยภาพเด็ก สภากาชาดไทย มาปรับ+ประยุกต์ใหม่ค่ะ กระบวนการเป็นกระบวนการค้นหาแบบเดิมเหมือนของสภากาชาดและของมศว.ประสานมิตร ค่ะ

- ผู้ปกครองท่านใดสนใจ ติดต่อขอรายละเอียดได้ที่ 02-5601141 ค่ะ ทุกวันอังคาร - วันอาทิตย์ ค่ะ ปิดทำการวันจันทร์

-วันอังคาร - ศุกร์ เวลา 11.00 - 20.00

- วันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 9.00 - 18.00

ขั้นตอนในการสมัครค่ะ

1. พาเด็กมาทดสอบความพร้อมในการเข้ากระบวนการวัดแววก่อน 1 ชั่วโมง

2.ทดสอบผ่านแล้ว นัดวันเวลากับนักวิชาการ เพื่อเข้ากระบวนการ 12 ครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมงค่ะ

3.เมื่อครบ 12 ครั้งแล้ว นักวิชาการประจำตัวเด็ก จะนัก Counseling กับผู้ปกครอง 1 ชั่วโมง เพื่อสรุปผลการวัดแววทั้งหมด

**รับรอง ผลการวัดแวว โดย ศาสตราภิชานนายแพทย์พิชิต สุวรรณประกร รองประธานมูลนิธิเพื่อนพึ่ง(ภาฯ) ยามยาก และประธานศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด ธัญธานีคลับเฮ้าส์ และผศ.ดรอุษรีย์ อนุรุทธ์วงศ์ ประธานศูนย์อัจฉริยภาพเด็ก มศว.ประสานมิตร

กรรณิการ์ ตุ้ยสา







ผู้ปกครองท่านใดสนใจ สอบถามและติดตามรายละเอียดได้ที่

http://www.itpthinking.com

หรือ 02-5601141 ค่ะ

ครูมด ศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด

 

การวัดแววความ *** หรือการค้นหาศักยภาพ
ปัจจุบัน ศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพที่มศว. มาเปิดศูนย์เครือข่าย ที่เดิมค่ะ คือที่ศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด ลำลูกกา ธัญธานี ปทุมธานี
http://www.itp-thinking.com ค่ะโดย: itpthinking@hotmail.com [2 พ.ย. 53 22:43]  


ข้อมูลล่าสุดนะคะเกี่ยวกับการค้นหาแววเด็ก
ปัจจุบันมีศูนย์ที่ให้บริการค้นหาแววเด็ก 2 ศูนย์ ได้แก่
1. ศูนย์พัฒนาอัจฉริยภาพเด็ก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(สำนักงานกลาง) http://www.giftedcenter.org 02-2596173
2. ศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด ลำลูกกา ปทุมธานี (ศูนย์เครือข่าย)
http://www.itp-thinking.com
ปัจจุบัน มีเพียง 2 ศูนย์เท่านั้น ที่สภากาชาดไทยและที่มหิดลวิทยานุสรณ์ปิดทำการแล้วค่ะ ถ้าเป็นศูนย์อื่นๆ รับรองว่าเป็นของปลอมอย่างแน่นอน
• ผู้เข้ารับบริการ ---
เด็กอายุ 4-10 ปี ที่มีความสนใจค้นหาแววความ *** พิเศษ หรือค้นหาศักยภาพการคิด
• วิธีการสมัคร --- *** สมัครได้ 2 วิธี ได้แก่
1. กรอกใบสมัครได้ที่ http://www.itp-thinking.com ,www.giftedcenter.org
2. ที่ศูนย์ค้นหาศักยภาพการคิด ลำลูกกา ปทุมธานี หรือที่โครงการเด็กที่มีความ *** พิเศษ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หลังจากกรอกใบสมัครแล้ว กรุณารอคิวเพื่อนัดหมาย
• ขั้นตอนการให้บริการ ---
1. นำเด็กมารายงานตัว พร้อมชำระเงินค่าสมัคร
2. ในการพาเด็กมาเข้าศูนย์วันแรก จะมีการปฐมนิเทศผู้ปกครอง
3. เด็กเข้าร่วมกิจกรรม เพื่อสำรวจแววความ *** ติดต่อกันทุกสัปดาห์ เป็นเวลา 8 ครั้ง
4. ปัจฉิมนิเทศผู้ปกครอง เพื่อรับผลการประเมินความ *** หลังจากเด็กเสร็จสิ้นกิจกรรม อัตราการให้บริการสำรวจแวว รายละ 5,900 บาท (รวมค่าบริการวินิจฉัยเชิงลึก)
• วันเวลา การให้บริการ---- เด็กจะเข้ามาทำกิจกรรมติดต่อกัน 8 สัปดาห์ ทุกวันอาทิตย์
1. ช่วงเช้า เวลา9.30 น. – 11.30 น. สำหรับเด็กเล็ก 4-6 ปี (อนุบาล 1-อนุบาล3)
2. ช่วงบ่าย เวลา 13.30 น. - 15.30 น. สำหรับเด็กโต 7 - 10 ปี (ป.1-ป.4)
• ประเภทของการให้บริการ
1. การค้นหาแววความ *** เป็นการบริการที่ช่วยให้ผู้ปกครองได้รับข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพที่สำคัญด้าน ต่างๆ ของลูก โดยทางศูนย์จะประเมินเด็กในด้านต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.1 ความ *** พิเศษด้านต่างๆ ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ อิเล็กทรอนิกส์ ศิลปะ
1.2 I.Q. (Intelligence Quotient)
1.3 E.Q. (Emotional Quotient)
1.4 A.Q. (Adversity Quotient)
1.5 S.Q. (Social Quotient)
1.6 บุคลิกภาพโดยรวม
1.7 ความ *** ทางความคิดระดับสูง
2. การทดสอบเชิงลึก
3. การพัฒนาทักษะการคิดระดับสูง
4. การพัฒนาเด็กที่มีความ *** พิเศษระดับสูง
5. การจัดกิจกรรมส่งเสริมความ *** พิเศษ แต่ละสาขาสำหรับเด็ก
6. การจำหน่ายเอกสาร สื่อและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการพัฒนาความ *** พิเศษ


ขอแนะนำให้ไป ที่ สถาบัน Think Is Fun ดีกว่าคะราคาไม่แพงประมาณ 1,300 บาท วัด IQ และวัดแววอาชีพให้ด้วยคะ ใช้แบบวัดจากอเมริกา อยู่ตรง BTS อารีย์คะ ซอยพหลโยธิน 5 มีสมุดรายงานเหมือนที่อื่นเลยคะ ถ้าจะเอาเป็นภาาษาอังกฤษ เพิ่ม 500 บาทคะแต่ถ้าภาษาไทยไม่เสียเพิ่มค่ะ

0813437550 โทรติดต่อดูนะคะโดย: ยุ้ย [28 ต.ค. 54] 




 

พัฒนาการปกติของทารกถึงวัยรุ่น

6 เดือน
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
คว่ำและหงายได้เอง ท่าคว่ำใช้ข้อมือยันได้ ดึงจากท่านอนหงายมาท่านั่งศีรษะไม่ตกไปข้างหลัง นั่งเองได้ชั่วครู่ ถ้าจับยืนเริ่มลงน้ำหนักที่เท้าทั้งสองข้างได้ เริ่มมีการลุกนั่ง
การใช้ตาและมือ
คว้าของด้วยฝ่ามือ หยิบของมือเดียว และเปลี่ยนมือได้ มองเห็นทั้งไกลและใกล้ ใช้ทั้งสองตาได้ดี
การสื่อความหมายและภาษา
หันหาเสียงเรียก เล่นน้ำลาย ส่งเสียงหลายเสียง
สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
รู้จักคนแปลกหน้า กินอาหารกึ่งเหลวที่ป้อนด้วยช้อนได้
9 เดือน
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
นั่งได้มั่นคง คลาน เกาะยืน
การใช้ตาและมือ          
ใช้นิ้วหยิบของได้ เริ่มหยิบของเล็กโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ได้ เปิดหาของที่ซ่อนไว้ได้ มองตามของที่ตกจากมือ
การสื่อความหมายและภาษา
ฟังรู้ภาษาและเข้าใจสีหน้าท่าทางได้ เปล่งเสียง เลียนเสียงพยัญชนะ แต่ไม่มีความหมาย
สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
เล่นจ๊ะเอ๋ได้ ตามไปเก็บของที่ตก หรือร้องตามแม่เมื่อแม่จะออกไปจากห้อง หยิบอาหารกินได้
12 เดือน
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
เกาะเดิน ยืนเองได้ชั่วครู่ อาจกางแขนขาเพื่อทรงตัว
การใช้ตาและมือ
ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้หยิบของชิ้นเล็กๆได้ถนัด หยิบของใส่ถ้วยหรือกล่อง
การสื่อความหมายและภาษา
เรียกพ่อแม่หรือพูดคำโดดที่มีความหมาย 1 คำ ทำท่าทางตามคำบอกที่มีท่าทางประกอบได้
สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
ตบมือ เลียนท่าทางโบกมือ สาธุ ร่วมมือเวลาแต่งตัวและชอบสำรวจ
2 ปี
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
เดินขึ้นบันได เตะลูกบอลได้ กระโดด 2 เท้า
การใช้ตาและมือ
ต่อรถไฟ ขีดเส้นตรงและโค้งเป็นวงๆได้ เปิดหนังสือทีละหน้า วางของซ้อนกันได้ 6 ชิ้น

การสื่อความหมายและภาษา
พูด 2-3 คำต่อกันได้อย่างมีความหมาย บอกชื่อของที่คุ้นเคยได้ บอกชื่อตัวเองได้
สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
เลียนแบบผู้ใหญ่ ใช้ช้อนตักอาหารกินเองได้ บอกได้เวลาจะถ่ายอุจจาระ ตบมือ จิกหัวตัวเอง
3 ปี
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
ขึ้นบันไดสลับเท้า ขี่จักรยานสามล้อ การวิ่งเท้าทั้งสองข้างยังกาง
การใช้ตาและมือ
วาดวงกลมได้ตามแบบ ต่อชิ้นไม้ 3 ชิ้นเป็นสะพาน ดังรูป

จับดินสอในท่าทางที่ถูกต้อง
การสื่อความหมายและภาษา
เล่าเรื่องที่ตนประสบมาให้ผู้อื่นฟังเข้าใจประมาณ 50 % ถามอะไร ที่ไหน จับกลุ่มสีพื้นฐานได้
บอกสิ่งของขนาดใหญ่ เล็ก สั้น ยาวได้  ชี้ส่วนของร่างกาย หัวแม่เท้า หลัง ท้อง คาง เข่า และคอได้ ชี้ด้านหน้า - หลัง ได้
สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
ถอด - ใส่รองเท้าซ้ายขวาได้ อาจจะคอยเตือนบ้าง
แต่งตัว สวมใส่เสื้อชั้นนอก - ใน ได้ด้วยตนเอง แต่บางครั้งบอกช่วยเหลือบ้าง แก้โบว์ผูกได้ ติดและถอดตะขอได้ รูดซิปได้
รู้เพศตนเอง แบ่งของให้คนอื่นได้บ้าง เล่นกับคนอื่น ควบคุมการถ่ายอุจจาระได้
4 ปี
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
กระโดดขาเดียว 4-6 ก้าว เดินลงบันไดสลับเท้าได้
ยืนด้วยขาเดียวนาน 3-6 วินาที วิ่งเท้าชิดกันมากขึ้น
โยนลูกบอลข้ามศีรษะ รับลูกบอลด้วยแขนงอเล็กน้อย
การใช้ตาและมือ
วาดสี่เหลี่ยมได้ตามแบบ วาดคนได้ 3 ส่วน ต่อชิ้นไม้ 5 ชิ้นได้ ตามรูป
จับดินสอด้วยมือข้างขวาที่ถูกต้องโดยใช้นิ้วข้อปลาย
การสื่อความหมายและภาษา
ร้องเพลง พูดเป็นประโยค ถามคำถาม เล่าเรื่องให้ผู้อื่นฟังเข้าใจได้ทั้งหมด
รู้จัก 4 สี รับรู้ตำแหน่ง ใต้ บน ข้าง ซึ่งสัมพันธ์กับตนเอง
ต่อจิ๊กซอได้ 3-5 ชิ้น
สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
เล่นร่วมกับคนอื่นได้ ควบคุมการถ่ายปัสสาวะได้ในเวลากลางวัน ติดกระดุมได้เอง ใส่เข็มขัด ร้อยเชือกรองเท้าได้
5 ปี
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
กระโดดสลับเท้าได้ กระโดดข้ามสิ่งกีดขวางเตี้ยๆได้ เดินต่อเท้าเป็นเส้นตรงได้โดยไม่ล้ม
การใช้ตาและมือ
วาดสามเหลี่ยมได้ตามแบบ วาดคนได้ 6 ส่วน เขียนอักษรตามรอยประได้ เริ่มเขียนชื่ออักษรต้นของตนเองได้
ต่อบันได 6 ชิ้นตามรูป
การสื่อความหมายและภาษา
พูดฟังเข้าใจได้  ถามเกี่ยวกับความหมายและเหตุผล  จำตัวอักษรได้  นับสิ่งของได้ 5 ชิ้น
นับเลขได้ถึง 20  แยกซ้าย - ขวาด้วยตัวเอง ต่อจิ๊กซอได้ 12-15 ชิ้น
สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
เล่นได้อย่างมีกติกา แต่งตัวเอง เล่นสมมติโดยใช้จินตนาการ ไม่ปัสสาวะรดที่นอนเวลากลางคืน
รู้อายุ  เริ่มผูกเชือกรองเท้า  ผูกเชือกกางเกงนอนได้ แปรงฟันได้เองโดยไม่ต้องบอก
6 ปี
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
เดินบนส้นเท้า เดินต่อเท้าถอยหลังได้ ใช้สองมือรับลูกบอลที่โยนมา   กระโดดไกลประมาณ 120 ซม.
การใช้ตาและมือ
วาดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนได้และสี่เหลี่ยมที่มีเส้นทแยงมุมตามแบบ
การสื่อความหมายและภาษา
นับได้ถึง 30 อธิบาความหมายของคำได้ บอกความแตกต่างของสองสิ่งได้  เริ่มอ่านสะกดคำ รู้เช้า บ่าย  เข้าใจเกี่ยวกับขนาด น้ำหนัก รูปร่าง ระยะ
สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
ช่วยงานบ้านได้ เล่นอย่างมีกติกา  ผูกเชือกรองเท้าได้
7 ปี
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
เดินถือของหลายชิ้นได้  เริ่มขี่จักรยาน 2 ล้อ
การใช้ตาและมือ
วาดรูปตามแบบ
การสื่อความหมายและภาษา
บอกเดือนของปีได้  สะกดคำง่ายๆได้ ฟังเรื่องแล้วเข้าใจเนื้อหาเด่นๆและขั้นตอนได้ ปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนกัน
สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
เริ่มมีเพื่อนสนิท ยอมรับกฏเกณฑ์ โดยปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ใหญ่เพื่อที่จะได้รับคำชมเชยและหลีกเลี่ยงการถูก ลงโทษ
9 ปี
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
ยืนขาเดียวปิดตาได้ 15 วินาที
การใช้ตาและมือ
วาดรูปที่มีความลึกได้  วาดรูปทรงกระบอกตามแบบ
การสื่อความหมายและภาษา
บอกเดือนถอยหลังได้  เขียนเป็นประโยค  เริ่มอ่านในใจ เริ่มคิดเลขในใจ บวกลบหลายชั้น
คูณชั้นเดียว
สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
รู้ว่าอะไรควรหรือไม่ควรในสถานการณ์ต่างกัน  ทำดีเพื่อรางวัลและการชมเชย
10-12 ปี
การทรงตัวและการเคลื่อนไหว
รับลูกบอลมือเดียว   ยืนกระโดดไกล 150-165 ซม.
การใช้ตาและมือ
วาดรูปทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ตามแบบ
เขียนและวาดได้คล่อง สามารถใช้เครื่องมือในการทำงานได้

การสื่อความหมายและภาษา
คูณหารได้ บอกตัวเลขตามได้ 6 ตัว ถอยหลังได้ 4-5 ตัว  รู้จักเศษส่วน  เขียนเล่าเรื่องสั้นๆได้
แก้ปัญหาได้เป็นขั้นตอน แก้โจทย์ 2 ชั้นได้

สังคมและการช่วยเหลือตนเอง
มีพฤติกรรมตามผู้อื่นที่เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม เริ่มยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างจากตนเอง รู้จักปฏิบัติตนเหมาะกับกาลเทศะ สนใจเพื่อนต่างเพศ ยอมรับกฎเกณฑ์

ขอขอบคุณ: http://www.iamsmartkids.com

ฉลาดคณิต สนุกรู้มิติสัมพันธ์

คณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์และมิติสัมพันธ์ คือความฉลาดทางสติปัญญา2 ใน 8 ด้านจากทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple Intelligences) ของโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยาด้านการคิดและการศึกษาที่รู้จักกันทั่วโลกซึ่งความฉลาดทั้ง 2 ด้านนี้สามารถเรียนรู้และเกิดขึ้นไปพร้อมกันได้ใน Smart tips นี้ค่ะ

และมิติสัมพันธ์ คือความฉลาดทางสติปัญญา 2 ด้านมารวมกัน จะเกิดการเรียนรู้มิติสัมพันธ์ผ่านการเชื่อมโยงสิ่งที่มองเห็น เช่น รูปทรง ทิศทาง ตำแหน่ง ควบคู่กับคณิตศาสตร์ที่เป็นการคิดคำนวณอย่างเป็นเหตุเป็นผล เช่น จำนวน ความสมดุล ลำดับ ชีวิตประจำวัน ฯลฯ ทำให้เจ้าหนูพบคณิตศาสตร์ได้หลากรูปแบบจนนึกไม่ถึงเชียวล่ะ
พร้อมแล้วชวนเจ้าหนูนับถอยหลัง  5 ...4...3..2..1 ไปเพลินกับคณิตพร้อมกับการเรียนรู้มิติสัมพันธ์กันเลยค่ะ

Tip 1 ใช้สัญลักษณ์แทนตัวเลข

3             (ภาพพริกหยวก)

6             (ภาพพริกหยวกสลับกับส้ม)

วัยเด็กยังไม่มีความชำนาญมากพอในการเรียนรู้สัญลักษณ์ที่มีความหมายเฉพาะ การแทนค่าตัวเลขซึ่งเป็นสัญลักษณ์ (นามธรรม) ด้วยสิ่งที่เราพบเห็นในชีวิตประจำวัน (รูปธรรม) จะสร้างความเข้าใจได้ดีกว่าค่ะ เช่น
- การใช้ผลไม้แทนสิ่งต่างๆ ช่วยน้องนับเลขอย่างง่ายๆ
- ชวนหนูรู้จักเลขคู่เลขคี่ เช่น พริกหยวกแทนเลขคี่ ส้มแทนเลขคู่ ให้เห็นความสัมพันธ์ของตัวเลขผ่านการจัดวางตามลำดับ
Tip 2 สนุกกับจำนวนนับ
พอลูกรู้สึกคุ้นเคยกับจำนวนแล้ว ลองเติมความสนุกให้กับตัวเลข เช่น
  • หาตัวเลข 1-9 ที่ซ่อนอยู่รอบตัว แล้วทำเป็นบันทึกการสืบค้น เช่น โทรทัศน์ 1 เครื่อง ประตู 2 บาน โต๊ะ 3 ตัว แจกัน 4 ใบ     รองเท้า 5 คู่ เพิ่มเติมเรื่องตำแหน่งด้วยการเพิ่มโจทย์การจดบันทึก เช่น โทรทัศน์ 1 เครื่อง อยู่ด้านหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ เป็นต้น
  • เจาะลึกถึงตัวเลขที่เราอาจมองไม่เห็นจริง เช่น การกะน้ำหนักของหนู ส่วนสูงของคุณพ่อ ก่อนการชั่งน้ำหนักหรือวัดส่วนสูง ฝึกการสังเกต ซึมซับความหมายของตัวเลข เติมความเข้าใจจากเลขหนึ่งหลักเป็นสองหลัก
 Tip 3 เรขาคณิตแสนสนุก
ได้เวลาฝึกฝนเรขาคณิตด้วยอุปกรณ์แค่กระดาษและกรรไกรค่ะ
- สร้างแบบจำลองห้องนอนของหนูด้วยการตัดกระดาษรูปเรขาคณิตมาประกอบเป็นห้องนอน ลงบนกระดาษ เช่น เตียงนอนเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หมอนเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส พรมเช็ดเท้าเป็นรูปวงกลม
- เสริมทักษะด้วยการนำการ์ดมาประกอบกันเป็นรูปร่างต่างๆ เช่น สี่เหลี่ยมคางหมูเกิดจากสี่เหลี่ยม 2 อันและสามเหลี่ยม 1 อัน
- ฝึกคิดคำนวณพื้นที่ เช่น การ์ดสี่เหลี่ยมขนาดกว้างยาวด้านละ 1 นิ้ว เมื่อนำมาประกอบกัน 4 อัน กลายเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่ มีพื้นที่รวม 4 ตารางนิ้ว
- ลองเพิ่มหรือลดการ์ดแล้วพัฒนาเป็นสูตรคำนวณ กว้าง x ยาว = หน่วยพื้นที่ เช่น ตารางนิ้ว เป็นต้น
Tip 4 สนุกกับอัตราส่วน
เรียนรู้มิติสัมพันธ์ด้านคณิตศาสตร์ เชื่อมโยงตัวเลขผ่านร่างกายของเรา เปรียบเทียบกับอัตราส่วนจริง(คุณพ่อคุณแม่ช่วยเป็นต้นแบบ เพื่อให้ได้สัดส่วนใกล้เคียงมาตรฐานจริง ค่าที่ได้อาจเป็นเพียงค่าประมาณ แต่ก็ได้สนุกเรียนรู้ไปพร้อมกันด้วยค่ะ)

1 นิ้ว = ความกว้าง 1 นิ้วโป้ง
1 ฟุต = ความยาวของเท้า
1 ศอก = ความยาวจากปลายนิ้วกลางถึงข้อศอก
Tip 5 เตรียมความพร้อม บวก-ลบ-คูณ-หาร
ก่อนรู้จักเครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร ลองจัดบรรยากาศรอบตัวให้เป็นสนามประลองโจทย์คณิตศาสตร์ให้เจ้าหนูเห็นการ เปลี่ยนแปลงย้ายที่ของค่าตัวเลขจริง วิธีนี้จะช่วยเรียนรู้ได้ดีกว่าการตั้งโจทย์ 1+1 =? ค่ะ
- วัยอนุบาล...เรียนรู้บวกลบ เช่น จัดมุมร้านค้าขายผลไม้จริงที่ซื้อมารับประทานอยู่แล้ว มีส้ม 2 กล่อง กล่องแรกมีส้ม 5 ผล กล่องที่สองมีส้ม 15 ผล แล้วตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไรให้ทั้ง 2 กล่อง มีส้มกล่องละ 10 ผล เจ้าหนูก็จะนับแยกผลส้มจริง ซึ่งจะทำให้เข้าใจได้ง่ายและเร็วกว่าการบวกลบตัวเลขค่ะ
วัยประถมต้น...ฝึกฝนคูณหาร เช่น คำนวณเวลา ลองชี้เข็มนาฬิกาให้เขาดู ถ้าคุณแม่พับผ้าคนเดียว เข็มยาวจะเดินจากเลข 1 ถึงเลข 4 ถามเขาว่าถ้าคุณแม่กับหนูช่วยกันพับสองคน จะใช้เวลาสั้นลงครึ่งหนึ่ง เข็มจะชี้ไปที่เลขไหน แล้วถ้าเพิ่มเสื้อผ้าที่ต้องพับอีกเท่าตัว จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไร อ๊ะ...อย่าลืมช่วยกันพับผ้าทดลองจริงด้วยนะคะ
Tip 6 คิดคำนวณในชีวิตจริง
เติมความแม่นยำด้วยการสอนคณิตจากเรื่องใกล้ตัวค่ะ
- คณิตจ่ายตลาด เช่น ลองให้เจ้าหนูช่วยคิดว่าจะใช้เงิน 100 บาท เพื่อซื้อวัตถุดิบไปทำข้าวผัดหมูสับแครอทใส่ไข่ สำหรับพ่อแม่และตัวหนูเอง? เขาจะได้ฝึกคำนวณทั้งปริมาณและราคาค่ะ
- เปรียบเทียบของชนิดเดียวในปริมาณและราคาที่ต่างกัน เช่น สบู่ 100 กรัม กับ 200 กรัม ราคา 10 บาท และ 15 บาท ซื้อก้อนไหนจึงจะประหยัดเงินมากกว่า
การเรียนรู้ของวัยนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ควรให้ความสำคัญกับความเข้าใจมากกว่าความจำ เพื่อเป็นรากฐานเชื่อมโยงสู่การเรียนรู้ด้านอื่นๆ ในอนาคต ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่ต้องช่วยกระตุ้นการเรียนรู้ในเรื่องนั้นๆ อย่างสนุกสนาน เพื่อสร้างจิตใจใฝ่รู้ให้กับลูกค่ะ
................................................................................................................
  
กองบรรณาธิการนิตยสาร Kids and School จากคอลัมน์ Smart Tips