วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เล่นๆ เรียนๆ ตามประสามีฮา

    วันเสาร์ เราสองคนเลยขออนุญาตชิล ตื่นหกโมงครึ่ง พ่อชูก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกันมีฮา
เมื่อคืนไปส่งแม่ฉิง ทั้งที่อิดออดไม่อยากจะไปบินเนื่องจากมีข่าวว่าอียิปต์ 15 ล้านคน
จะออกมาประท้วงขับไล่ประธานาธิบดี ได้แต่ภาวนาขอให้ไม่มีอะรมากมายนัก เพี้ยง
    ตื่นเช้ามาพบกับอากาศที่บริสุทธิ์ แดดส่องตั้งแต่เช้า เราสองคนรีบล้างหน้า
เก็บของ กล้อง ตังค์นิดหน่อย พามีฮาพ้นประตู ก็ถามมีฮาว่าอยากไปทางซ้ายหรือขวา
มีฮาบอกซ้าย ก็เลยต้องไปทางซ้ายของบ้าน ซึ่งเป็นด้านของหมู่บ้านพฤกษา 36
ไปแวะตุนเสบียงก่อน ซื้อข้าวมันไก่ทอด+ต้ม( ผสมกัน ) แล้วก็มี ขนมไข่หงส์
มุ่งตรงไปยังวัดขวัญสะอาด ตั้งใจจะพามีฮาไปดูกิจของพระสงฆ์ ว่าตอนเช้าๆท่านทำอะไรบ้าง
พอไปถึงมีฮาก็ได้เล่นกับเพื่อนใหม่เลยคือเจ้าแมวน้อย

 เจ้าแมวน้อยสีขาวเพื่อนของมีฮา

เล่นกันสนุกสนาน เจ้าแมวน้อยก็น่ารักเสียเหลือเกิน


   เล่นกันจนเกือบจะแปดโมง ต้องกลับบ้านแล้ว แดดเริ่มแรง มีฮาก็ยังไม่ได้ทานข้าว
มาถึงบ้าน จัดแจงข้าวมันไก่ใส่ถาดของมีฮา แล้วนั่งกินบนไฮแชร์ นั่งกินข้าวอย่างอร่อยเลย
คงเพราะได้เล่นอย่างสนุก นั่งไปหันมองนาฬิกา ใกล้แปดโมงต้องรีบเปิดวิทยุ
เพราะมีฮาชอบยืนตรงเคารพธงชาติ ถึงเวลาติ๊กต๊อก จะแปดโมงก็ต้องลุกลงมาข้างล่างก่อน
มาเคารพธงชาติเสียก่อน ค่อยกลับไปนั่งกินข้าวใหม่อีกรอบ กินได้อีกไม่กี่คำ มีฮาก็อิ่มแล้ว
กินข้าวมันไก่หมดไปครึ่งกล่อง เก่งมากวันนี้ แล้วก็มากินแก้วมังกร มะละกอ
แล้วก็ไปให้อาหารเจ้าซื่อบื้อ เจ้าซื้อสัตย์ นั่งเล่นชิงช้า เล่นแฟลชการ์ด ตัวเริ่มมอมแมม
เลยชวนเล่นน้ำ  เล่นไปด้วย เรียนไปด้วย เรียนเรื่องการไหลของน้ำจากที่สูงลงทีต่ำ
อุปกรณ์ไม่มีอะไรมาก มีไม้ไผ่ผ่าครึ่ง แล้วเซาะเอาปล้องออก จากนั้นก็ให้มีฮาสมมุติการรดน้ำ
พอเทน้ำใส่ด้านที่สูง น้ำก็จะไหลไปทางด้านต่ำ แล้วก็โดนต้นไม้ ทำให้มีฮาสนุกสนาน
จากนั้นก็เล่นช่วยน้ำออกจากขวด เอาขวดมาใส่น้ำแล้วเอาหนังยางรัด แล้วให้มีฮาหาวิธีเอาน้ำออก
ตอนแรกก็ทั้งเท ทั้งทุบ ทั้งดึง จึงต้องใบ้ให้ โดยให้หาอะไรมาจิ้ม มีฮาก็ได้ไม้แถวนั้นมาจิ้ม
แล้วก็ช่วยให้น้ำออกมา แล้วมีฮาก็เอาไปรดน้ำต้นไม้ กลายเป็นบัวรดน้ำต้นไม้ไปเลย

 ของเล่นมีฮา เล่นน้ำไหลจากที่สูงไปที่ต่ำ

เล่นช่วยน้ำออกจากขวด

เล่นน้ำกันนานมาก จนริมฝีปากเริ่มเป็นสีม่วง ต้องพามีฮาไปแต่งตัว  แต่ยังไม่ทันจะเข้าบ้าน
ยายจ๋าข้างบ้านก็ออกมาชวนคุย ไปคุยกับยาย แล้วก็แย่งยายกินข้าวอีก กว่าสิบคำ
ยายจ๋ามีแหนมปลากรายกับข้าวสวย  ถูกใจมีฮา คราวหน้าต้องลองหามาให้มีฮาหม่ำเสียหน่อย
ท่าทางจะชอบมาก กินข้าวจากยายอีกรอบก็ได้เวลา แปรงฟัน แล้วก็พาไปนอนข้างบน ก่อนจะนอนมีฮาขอดูโพโรโร่ก่อน ดูไปประมาณสิบรอบได้ ร้องตาม เต้นตามสารพัด กว่าจะได้กินนม ฟังนิทานนอนกัน
นอนตอน สิบโมงครึ่ง จนถึงบ่ายโมงครึ่ง พาลงไปข้างล่างไปนั่งกินข้าวมันไก่ที่เหลือต่อ กินเกือบหมด
พ่อชูจึงขอนั่งกินข้าวบ้าง แล้วก็ให้มีฮาไปเล่นกับยาย มีฮาไปค้นตู้ได้ของกินมาอีก ทั้งขนม
ทั้งอาหารขวด มาให้ยายช่วยแกะ ช่วยป้อน แล้วก็เปิดตู้เย็นได้โยเกิร์ตมากินอีก กินไปเกือบหมดอีก
วันนี้กินเก่งมากเลย เจริญอาหารจริงๆ กินเสร็จแล้วพ่อชูก็ขอไปเก็บกวาดของที่เคาน์เตอร์
แล้วให้ยายช่วยดูมีฮา เธอก็วิ่งไปวิ่งมา จะช่วยๆพ่ออยู่นั่นแหละ ช่วยยุ่งตลอดกว่าจะเสร็จก็บ่ายสามครึ่ง
เห็นว่ามีฮางอแง คงอยากกินนม เลยพาไปกินนม แล้วเล่นกันบนบ้าน จนถึงบ่ายสี่โมงครึ่ง
ก็พากันออกเดินทาง ไปซิ่งกันต่อ วันนี้ขับไปทางเส้นสุวิทวงท์ ตั้งใจจะขับไปเล่นเรื่อยๆ
หาที่ใหม่ๆให้มีฮาเล่น ขับไปได้สักพักก็เห็นเขากำลังหว่านข้าว เลยจอดรถลงดู แล้วก็พามีฮาเล่นสำรวจ
ต้นไม้ วันนี้มีฮาได้รู้จักอีกหนึ่งอย่างก็คือปลวกที่จะเหมือนอุโมงค์ขึ้นไปบนต้นไม้ หาไม้ให้แล้วให้มีฮา
ลองเอาไปแหย่ เอาไปแคะดู

แหย่หาปลวก
   
     เห็นป้ายโรงเรียนไม่ได้ต้องขอแวะดูเสียหน่อย เจออีกหนึ่งโรงเรียนซึ่งอยู่ในเส้นสุวิทวงท์
เป็นโรงเรียนเล็กๆ น่ารักๆ บรรยากาศรายล้อมด้วยธรรมชาติ อากาศโล่งโปร่งสบาย
เลยพามีฮาจอดรถเข้าไปเล่นหน่อย มีทั้งสนามเด็กเล่น มีพี่คิงคองด้วย
ขอขี่พี่คิงคองหน่อยนะคะ

เล่นสนามเด็กเล่นสนุกสนานเลย




พี่คิงคองที่นี่มีตั้งสามตัวแหน่ะ

ดีใจๆ ได้ขับรถด้วยค่ะ

เล่นที่โรงเรียนนี้เสร็จก็ต้องพามีฮาไปหาพี่แพรวา ตามสัญญาไว้หลายวันก่อนโน้นว่าถ้าฝนไม่ตก
จะพาไปเล่นกับพี่แพรวา พี่แพรวาเป็นลูกของภารโรง โรงเรียนวัดขุมทอง อยู่อนุบาลสองแล้ว
แต่มีฮาชอบเล่นกับพี่แพรวามาก พี่แพรวาก็ชอบมีฮาเหมือนกัน

มาทักทายเจ้าลายก่อน


จะบอกว่าสองคนนี้ยังอ่านไม่ได้นะ แต่ท่าให้มาก

มืดแล้วกลับบ้านดีกว่า

 เล่นกับพี่แพรวาเสร็จก็กลับบ้านมาทานข้าว มื้อเย็นของมีฮาเป็นไข่ต้ม กินกับซอส ไข่ทอดใส่หอมหัวใหญ่
ผัดผัด พึ่งจะรู้ว่ามีฮาชอบกินอะไรที่จิ้มซอสภูเขาทองมาก กินไข่หมดไปฟอง กินข้าวไปเยอะมาก
ซึ่งทุกอย่างมีฮาจะให้เอาจิ้มซอสก่อน กินง่ายจริงๆเลยเรา กินแบบว่าไม่ต้องคะยั้นคะยอเลย
อั้มหายๆเลย กินหมดแล้วก็มานั่งเล่นกัน แล้วก้ได้เวลาไปอาบน้ำ มีฮาไปอาบน้ำทำให้สำรวจเห็นว่า
วันนี้มีแผลที่นิ้วโป้ง ก็สังเกตตั้งแต่ตอนไปเล่นกับพี่แพรวา มีฮาจะบอกว่ามดกัดนิ้ว ก็คงเพราะแผลนี้
อาจจะเกิดจากไปดึงหญ้าที่มันคมๆ มีตุ่มยุงเบ้อเริ่มที่ขา มีตุ่มยุงที่เปลือกตา (ไม่รู้มันไปกัดได้ไง)
อาบน้ำแปรงฟัน มานั่งดูดีวีดีได้ไม่เท่าไหร่ก็บอกให้ปิดๆ จะไปกินนม อ่านนิทานแล้ว
กินนมไปอ่านนิทานเรื่องเจ้าหนูใจดี การเดินทางแสนสนุก(2รอบ) หนูจิ๋ว พออ่านจบปุ๊บ
ไปปิดไฟ มีฮาก็หลับปุ๋ย
   ฝันดีจ้ะ สาวน้อย แล้วพรุ่งนี้จะมีอะไรเล่นกันอีกนะ

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ไว้อาลัยแด่ระบบการศึกษาไทย

ไว้อาลัยแด่ระบบการศึกษาไทย!

โดย : อภิรดี จูฑะศร
พับลิกโพสต์ออนไลน์ : 3 สิงหาคม 2555
มีเพื่อนในเฟสบุ๊คท่านหนึ่ง เอานิทานมาเล่าให้ฟัง ชื่อเรื่องว่า 'โรงเรียนของสัตว์' เรื่องมีอยู่ว่า...
rabbit 01"ในวันหนึ่งสัตว์ทั้งหลายในป่าได้มารวมตัวกัน และตัดสินใจ ว่าจะตั้ง โรงเรียนของสัตว์ ขึ้นมา กระต่าย นก กระรอก ปลา และปลาไหล ได้รับเลือกให้เป็นกรรมการพัฒนาหลักสูตร กระต่ายยืนกรานว่า เรื่องการวิ่งจะต้องเป็นวิชาหนึ่งในหลักสูตร ส่วนนกบอกว่า เรื่องการบินก็ต้องอยู่ในหลักสูตร ปลาบอกว่า การว่ายน้ำจะต้องอยู่ในหลักสูตรเช่นกัน ส่วนกระรอกก็บอกว่า การปีนขึ้นต้นไม้ในแนวดิ่งเป็นสิ่งที่จำเป็น และเห็นควรรวมไว้ในหลักสูตรด้วยซึ่งในที่สุดพวกสัตว์ทั้งหลายที่ได้รับมอบหมายให้ร่างหลักสูตร ก็ได้นำวิชาต่างๆ เหล่านี้มารวมกัน และจัดทำเป็นหลักสูตรขึ้นมา พร้อมกับ ป่าวประกาศ และบังคับให้สัตว์ทั้งหลายที่เข้าเรียนหลักสูตรนี้ จะต้องสอบผ่านทุกวิชาตามที่กำหนดไว้
กระต่ายซึ่งเคยได้เกรดเอจากการวิ่ง มีปัญหามากในเรื่องการปีนต้นไม้ในแนวดิ่ง มันปีนขึ้นไปแล้วก็ตกลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดหัวสมองก็ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ทำให้ไม่สามารถจะวิ่งต่อไปได้ จากที่เคยได้เกรดเอในการวิ่ง ตอนนี้มันกลับได้เกรดซี และแน่นอนมันได้เอฟ (สอบตก) ในการปีนต้นไม้ นกที่เคยเก่งมากในเรื่องการบิน แต่พอต้องเรียนวิชาขุดโพรงลงไปในดิน มันก็ทำได้ไม่ดีนัก จะงอยปากของมันแตกและปีกของมันก็หัก ในไม่ช้ามันก็ได้เกรดซีในวิชาการบิน และได้เอฟในวิชาขุดโพรง แถมประสบปัญหาในเรื่องการปีนต้นไม้ในแนวดิ่งเช่นกัน
p-warm-okในที่สุดสัตว์ที่สามารถเรียนจบผ่าน หลักสูตรนี้ไปได้กลับกลายเป็น เจ้าปลาไหล ที่ทำทุกอย่างผ่านได้แบบครึ่งๆ กลางๆ แต่มันก็ทำให้ผู้สร้างหลักสูตรมีความสุข ที่เห็นว่าสัตว์เหล่านั้น ได้เรียนรู้ทุกวิชาที่เหล่าบรรดากรรมการหลักสูตร ได้พัฒนาขึ้นมา และต่างพากันเรียกการศึกษาแบบนี้ด้วยความภูมิใจว่า "การศึกษาแบบครอบจักรวาล"
ฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกว่ามันคุ้นๆ ไหม? นี่ล่ะคือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับการศึกษาในเมืองไทย (ความจริงมันเกิดขึ้นมานานแล้วด้วยซ้ำ) ระบบการศึกษาแบบไทยๆ ที่ทำร้ายเยาวชนของเรามานานนักแล้ว ทุกปีเด็กไทยจะมีปัญหาเรื่องของการสอบเข้าเรียนเสมอ ไม่ว่าจะเข้าเรียนต่อในชั้นมัธยมศึกษา สอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ที่สุดแล้วก็เป็นไปเพื่อจะสร้างสถิติใหม่ๆ ที่ว่า เมืองไทยมีบัณฑิตจบใหม่ตกงานเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี และด้อยคุณภาพลงไปทุกที นั่นเพราะระบบการศึกษาบ้านเราได้ทำลายแรงบันดาลใจ เชาว์ปัญญา และอัจฉริยภาพที่แตกต่างกันในตัวคนแต่ละคนลงไป จนกลายเป็นเด็กพิมพ์เดียวกัน ที่ขาดไร้ซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง ขาดความมั่นใจในตัวเอง และไร้ทิศทางอนาคต สิ่งเหล่านี้ผู้เขียนพบเจอบ่อยครั้งในการไปบรรยายให้กับนักศึกษาในหลายสถาบัน ซึ่งเราไม่อาจโทษเด็กได้เลย เราเพียงต้องให้โอกาสพวกเขาได้แสดงศักยภาพที่มีอยู่ในตัวฉายแววออกมา
thai education 01
ในความเป็นจริงแล้ว เด็กทุกคนเกิดมาพร้อมศักยภาพที่มีอยู่ใน  ตัวตนของพวกเขา เพียงแต่ศักยภาพที่มีอยู่นั้นได้ถูกขัดเกลา ส่งเสริม และเกื้อหนุน ให้ฉายแววโดดเด่นออกมาได้มากน้อยแค่ไหน ไม่เฉพาะผู้ปกครองเท่านั้นที่จะต้องคอยส่งเสริมเกื้อหนุน แต่สถาบันการศึกษาคือ ส่วนสำคัญยิ่งในการผลักดันหรือต่อยอดเชาว์ปัญญาและศักยภาพของเด็กๆ ให้  โดดเด่นขึ้นได้
oh noทว่า... ด้วยระบบการศึกษาแบบท่องจำ และยำรวมมิตรแบบบ้านเราทุกวันนี้ ได้ทำให้ศักยภาพของเด็กๆ ถูกกดทับ การเรียนการสอนแบบท่องจำ ไม่ได้ช่วยเสริมจินตนาการใดๆ แบบเรียนที่ใช้สอนกันมา ก็ไม่ได้ปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ไม่ได้ช่วยเปิดโลกทรรศน์ที่ปราศจากการครอบงำความเชื่อเดิมๆ ออกไป แต่กลับพยายามตอกย้ำฝังหัวเด็กแบบผิดๆ โดยไม่เปิดรับองค์ความรู้ หรือการค้นคว้าใหม่ๆ ไม่นิยมให้เด็กโต้เถียง หรือตั้งคำถามที่แย้งไปจากตำรา อีกทั้งการออกข้อสอบเพื่อวัดความรู้ เช่น กรณีโอเน็ต ยังทำให้ผลการสอบของเด็กไทยต่ำเตี้ยติดดินครั้งประวัติศาสตร์ อีกด้วย แสดงถึงความล้าหลังทางความคิดของคนออกข้อสอบ ที่ไม่ได้สะท้อนการเรียนรู้ของ เด็กให้พวกเขานำไปใช้ในชีวิตจริงได้ แต่กลายเป็นว่า ข้อสอบมีไว้เพื่อคัดกรองเอาแต่เด็กที่คิดตามแบบคนสอน หรือได้คะแนนมา เพราะสามารถเดาใจคนออกข้อสอบได้เท่านั้นเอง 
เมื่อไม่นานมานี้มีการวิเคราะห์ข้อสอบ โอเน็ต โดยนำไปเทียบกับข้อสอบนานาชาติ หรือที่เรียกกันว่า PISA ผลปรากฏว่า ข้อสอบของโอเน็ตกับข้อสอบของ PISA ต่างกันชนิดคนละศตวรรษ โดยผู้วิจัยสรุปว่า ข้อสอบโอเน็ตยังเป็นข้อสอบที่อยู่ในศตวรรษที่ 20 ขณะที่การสอบประเมินผลในระดับนานาชาติเป็นข้อสอบที่ก้าวมาอยู่ในศตวรรษ ที่ 21 แล้ว...พูดง่ายๆ ก็คือ ของเราล้าหลังชนิดข้ามศตวรรษกันเลยทีเดียว!
เหตุที่เอาปัญหานี้มาพูดถึง ก็เพราะทราบข่าวมาว่า ทาง สพฐ.กำลัง เสนอให้มีการนำคะแนนโอเน็ต 20% มารวมกับผลการเรียนเฉลี่ยสะสมตลอดหลักสูตร (GPAX) ของนักเรียน ข่าวว่า แนวทางนี้กำลังเสนอต่อเจ้ากระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งถ้าเกิดเขาเห็นพ้องต้องกันขึ้นมา ก็แปลว่า ลูกหลานของเราจะต้องมาผจญกับการออกข้อสอบแบบย้อนยุคอีกล่ะสิ แปลว่าถ้าทำคะแนนโอเน็ตไม่ดี ก็มีสิทธิฉุดคะแนนเฉลี่ยสะสมที่อุตส่าห์ตั้งใจ เรียนมาตลอดหลายเทอม ให้หล่นฮวบหงายเงิบไปด้วย!?
thai education 03
นิทาน 'โรงเรียนของสัตว์' สะท้อน ว่า การศึกษาของไทยพยายาม อย่างเหลือเกินที่จะทำให้คนทุกคนเหมือนกัน ให้เก่ง และสอบผ่านทุกวิชาในหลักสูตร ที่ถูกยำรวมมิตร โดยผู้สร้างหลักสูตรที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของความเป็นปัจเจกที่มีอยู่ในตัวของ แต่ละคน (ซึ่งแตกต่างกัน) ได้ทำลายศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในแต่ละคน บั่นทอนความเป็นตัวของตัวเองในคนแต่ละคนจนหมดสิ้น เด็กทุกคนที่เกิดมาพร้อมเชาว์ปัญญาเฉพาะตัว แต่พอพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้กลับหายไปเพราะว่า การศึกษาไม่ได้สอนให้เป็นไปตามธรรมชาติของแต่ละคน ไม่ได้ให้ความเคารพในสิ่งที่แต่ละคนมี แต่กลับควบคุมบังคับให้ทุกคนเป็นไปตามรูปแบบที่กำหนด ซึ่งมีเพียงบางคนเท่านั้นที่สามารถเดินไปตามขนบรูปแบบนี้ได้ 
จึงต้องขอไว้อาลัยแด่การศึกษาของไทยด้วยประการฉะนี้!!


ที่มา  http://www.krumontree.com/main/index.php/documents/130-rip-thai-ed